วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ธรรมชาติบำบัดน้ำไม่ทัน ฟาร์มOKบำบัดแทนได้



ข้อควรระวัง!! ช่วงปลายฝนต้นหนาว


ย่างเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวอีกแล้ว ปีนี้นั้นเป็นอีกปีหนึ่งที่ประเทศไทยเจอกับฝนมากตลอดปี ในช่วงที่มีฝนตกติดต่อกันมากๆคุณหภูมิลดต่ำลง เรียกได้ว่าเกษตรกรต้องเจอกันหนักกับสภาพอากาศที่ค่อนข้างแปรปรวน สภาพอากาศถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ และมีผลต่อการเลี้ยงกุ้งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสภาพอากาศนั้นส่งผลต่อกุ้งโดยตรง นั่นคืออุณหภูมิที่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลง จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำ สำหรับกุ้งที่เป็นสัตว์เลือดเย็นก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิร่างกายตามสภาพแวดล้อมนั่นเอง ซึ่งการปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อมย่อมส่งผลให้กุ้งอ่อนแอ และมีโอกาสติดเชื้อโรคง่ายขึ้น สำหรับปัญหาเรื่องโรคที่มักพบในช่วงอากาศหนาวก็คงไม่พ้นโรคจากตัวแดงดวงขาว นอกจากปัญหาเรื่องโรคไวรัสแล้วนั้น แบคทีเรียก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบได้ถึงแม้นว่าจะไม่หนักเท่าในช่วงอากาศร้อนก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคขี้ขาว

การเลี้ยงกุ้งในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลผู้เลี้ยงที่มีความพร้อมมักจะได้เปรียบเสมอ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการจัดการระบบการเลี้ยง การเตรียมน้ำ เตรียมบ่อเลี้ยง การให้อาหาร รวมทั้งการคัดเลือกลูกพันธุ์ที่มีคุณภาพ

สำหรับฤดูที่ใกล้จะเข้ามาถึงช่วงฤดูหนาว กุ้งมักจะเป็นโรคหนาว มีการระบาดของโรคตัวแดงดวงขาวนั่นเอง นอกจากปัญหาเรื่องของโรคระบาดแล้วนั้น อุณหภูมิที่ลดต่ำลงก็จะส่งผลต่อการกินอาหารของกุ้งอีกเช่นกัน ซึ่งได้มีรายงานการทดลองในเรื่องของผลของอุณหภูมิต่อการกินอาหารของกุ้ง พบว่ากุ้งที่เลี้ยงในน้ำที่มีอุณหภูมิ 33 OC กินอาหารมากกว่ากุ้งที่เลี้ยงน้ำที่มีอุณหภูมิ 29 OC (ชะลอและคณะ, 2553)ดังนั้นในช่วงที่อุณหภูมิลดลง หากผู้เลี้ยงละเลยในการเช็คปริมาณอาหารที่ให้ในแต่ละวันอาจจะเกิดปัญหาตามมาได้

เนื่องจากอุณหภูมิลดลงส่งผลการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลปลายฤดูฝนเข้าสู่หนาวนั้นอุณหภูมิก็จะลดต่ำลงส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำลดต่ำลงด้วย กุ้งก็จะกินอาหารลดลง แต่ถ้าผู้เลี้ยงยังให้อาหารในปริมาณปกติก็จะทำให้เกิดอาหารเหลือมากขึ้นนั่นเอง อาหารที่เหลือนั้นมักจะส่งผลให้เกิดของเสียสะสมในบ่อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในรูปของอินทรีย์สารซึ่งหากมีปริมาณมากจนเกินไปในบ่อนอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นสารประกอบที่เป็นพิษกับกุ้ง ในรูปแบบของแอมโมเนีย และไนไตรท์แล้วยังกลายเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียที่ก่อโรคอีกด้วย บ่อไหนที่ของเสียปริมาณสารอินทรีย์มาก เมื่อนำน้ำและเลนมาตรวจก็มักจะพบว่า พบเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อกุ้งเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียวิบริโอ ขี้ขาว จะเห็นว่าถ้าหากผู้เลี้ยงไม่ให้ความใส่ใจในการดูแลกุ้งในช่วงนี้นั้น ก็จะทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไวรัสและแบคทีเรีย

สำหรับวิธีการจัดการสารอินทรีย์หรือของเสียในบ่อ นอกจากการดูดเลน การควบคุมปริมาณอาหารที่ให้อย่างเหมาะสมไม่ให้เหลือทิ้งตกค้าง ก็จะเป็นการจัดการที่ต้นตอของสารอินทรีย์ที่จะเกิดขึ้นในบ่อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้เลี้ยงต้องใส่ใจในการเช็คปริมาณอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของกุ้งด้วย นอกจากนั้นการใช้จุลินทรีย์เพื่อย่อยสลายของเสียพื้นบ่อเลี้ยงก็เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งในการกำจัดของเสียระหว่างเลี้ยง การเลือกใช้วิธีการใดๆก็ตามในการกำจัดของเสีย ผู้เลี้ยงเองต้องทำความเข้าใจศึกษาข้อมูลในการใช้ และนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของบ่อของตนเอง เพื่อให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับการเลี้ยงกุ้งในช่วงหนาวที่จะถึงนี้ การเตรียมบ่อให้ดี การตรวจเช็คสุขภาพกุ้งในบ่อสม่ำเสมอ การเสริมบำรุง และกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กุ้งแข็งแรงรวมทั้งการดูแลและจัดการปัญหาของเสียหรือสารอินทรีย์ส่วนเกินในบ่อได้ การเลี้ยงกุ้งในช่วงหนาวนี้ก็คงจะไม่ยากอีกต่อไปหากมีตัวช่วยที่ดี https://line.me/ti/p/uQxRrrOn0t เครดิต:Google


❇️ขอบคุณรีวิวแชร์...[CR] [CR]แชร์วิธีกำจัดโรคขี้ขาวในกุ้งขาวจนหาย จับบ่อเดียว 5 ตัน 7 แสนบาท
คลิ๊กเลย>>>https://m.pantip.com/topic/37901451

❇️"คอนเฟริม์ จบทุกปัญหาบ่อกุ้งโรคระบาด" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/02/ok.html?m=1<<<คลิกเลย

❇️"เลี้ยงกุ้งง่ายๆจบทุกปัญหาการเลี้ยงกุ้ง" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/01/blog-post.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

❇️"พิชิตกุ้งขี้ขาว คอนเฟริม์ ขี้ขาวหายชัวร์ ขี้ขาวหายจริงๆ" https://farmokl2512.blogspot.com/2018/12/blog-post.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

❇️"แก้ขี้ขาวหายชัวร์"คอนเฟริม์"กุ้งเป็นโรคขี้ขาวใช้แล้วหายชัวร์พื้นที่จังหวัดสงขลา"
https://farmokl2512.blogspot.com/2018/09/ok.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

❇️#รีวิวการันตีจากชาวบ่อเยอะ
#รีวิวจากยอดขายล้านลิตร
#รีวิวจากลูกค้าใช้งานจริง
#รีวิวจากยอดขายที่ขายจริง
#รีวิวแน่นดูได้ที่นี่... https://farmokl2512.blogspot.com/2018/09/2538-2544-2548-340000-32000-ok-ems-ok.html?m=1

❇️"โรคEHP-SHIV โรคระบาดในกุ้ง" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/05/ehp-shiv.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

❇️"ฟาร์มOK มีประโยชน์ต่อการเลี้ยงกุ้งอย่างไร" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/05/ok.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

❇️"เลี้ยงกุ้งได้ ปลอดโรค รู้เขา รู้เรา เลี้ยงกุ้งง่าย ได้กำไรทุกค๊อบ ไม่เสียเวลา-พื้นที่" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/05/ok_16.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

❇️"ปัจจุบัน.ไคโตซานฟาร์มOKได้มีการนำมาในการเพาะเลี้ยงกุ้งและสัตว์น้ำอย่างแพร่หลาย และมีการพัฒนาการใช้งานให้กว้างขวางแก่สัตว์น้ำทั่วทุกภาคส่วนทุกพื้นที่ทั่วไทย" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/11/blog-post_11.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

อนุญาตแชร์แบ่งปันความรู้ไปตามกลุ่มคนเลี้ยงกุ้ง เกษตรอินทรีย์ การเกษตรทุกชนิด
______________________________
#เกษตรกรรม #กุ้งขี้ขาว #โรคตัวแดงดวงขาว #โรคกุ้งEHP-SHIV #กุ้งEMS #โรคธอร่า #โรคกุ้งระบาด #กุ้งตะกอนเข้าเหงือก #กุ้งแคระแกรน #กุ้งตัวลีบผอม #กุ้งกิ๊กโก๋หัวโตหางลีบ #เกษตรอินทรีย์ #ออแกนิก #การเกษตรทุกชนิด #เลี้ยงสัตว์ #ไคโตซาน #ฟาร์มOK #ไคโตซานฟาร์มOK #healthfoods #แม่ค้าขายออนไลน์ #จุลินทรีย์ #น้ำเสีย #แพลงตอนบลูม #ไนไตรท์ขึ้น #แอมโมเนีย #น้ำหนืด #น้ำขุ่น











_____________________________


วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ไคโตซานฟาร์มOKจุลินทรีย์แก้ปัญหาในบ่อเลี้ยงกุ้ง,บ่อเลี้ยงปลา และสัตว์น้ำทุกชนิด


การใช้จุลินทรีย์ในบ่อเลี้ยงกุ้ง,บ่อเลี้ยงปลา และสัตว์น้ำทุกชนิด


บ่อเลี้ยงปลา


เกษตรกรที่เลี้ยงปลาส่วนมากจะมีปัญหาในเรื่องน้ำในบ่อเลี้ยงปลาเกิดการเน่าเสีย เมื่อน้ำเน่าเสียเกิดขึ้น นั่นหมายถึงปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง จนอาจไม่มีออกซิเจนให้ปลาในน้ำหายใจ ซึ่งอาจทำให้ปลาตายยกบ่อได้ง่ายๆภายในไม่กี่วัน ปัญหาการเน่าเสียของน้ำในบ่อเลี้ยงปลา ส่วนใหญ่มาจากการให้อาหารปลาและการถ่ายเทมูลของปลาเอง ถึงแม้อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาส่วนมากจะถูกปลากิน แต่จะมีบางส่วนตกลงก้นบ่อและจมลงไปในโคลนก้นบ่อ ทำให้เกิดการเน่าเสียขึ้น และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากความหนาแน่นของปลาที่เลี้ยง ซึ่งส่วนมากจะใช้สารเคมีแก้ไข อันนำไปสู่การตกค้างของสารเคมีไปสู่สิ่งแวดล้อมและผู้บริโภคได้ บ่อเลี้ยงปลามีทั้งประเภททำเป็นอาชีพ คือเลี้ยงปลาเพื่อการพาณิชย์ และเลี้ยงปลาในบริเวณบ้าน เช่น ปลาคร้าฟ ปลาสวยงามต่างๆ น้ำเสียก็เกิดขึ้นตลอดเวลา ต้องมีการเติมออกซิเจนและถ่ายเทน้ำเสียบ่อยๆ เพื่อให้ปลามีสุขภาพที่ดี การเก็บน้ำเสียไว้นานๆในบ่อเลี้ยงปลาอาจทำให้ปลาติดเชื้อยกบ่อได้

บ่อเลี้ยงกุ้ง

ผู้ที่เลี้ยงกุ้งจะมีปัญหามากกว่าผู้เลี้ยงปลา การเลี้ยงกุ้งจะเลี้ยงได้ยากกว่าการเลี้ยงปลา เหตุเพราะกุ้งจะอ่อนไหวตายง่ายกว่าปลา มีปัญหาเพียงเล็กน้อยกุ้งก็อาจตายได้ การลงทุนเลี้ยงกุ้งนั้นใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ซึ่งปัญหาที่พบมากก็หนีไม่พ้นเรื่องน้ำเน่าเสีย เช่นเดียวกับปลา แต่ปลาจะทนทานกว่ากุ้ง ดังนั้นถ้าเกิดน้ำเน่าเสียต้องรีบแก้ไขให้รวดเร็ว ปัญหาน้ำเน่าเสียก็มาจากสาเหตุที่คล้ายๆ กัน คือ อาหารกุ้ง ซึ่งมีบางส่วนที่กุ้งกินไม่หมดแล้วตกลงก้นบ่อ ทำให้เกิดการเน่าเสีย มีผลทำให้น้ำโดยรวมเน่าเสียตามไปด้วย กระทบกับปริมาณออกซิเจนที่กุ้งใช้หายใจ ทำให้การเจริญเติบโตหยุดชะงัก ทำให้เกิดเป็นปัญหาโรคกุ้ง สร้างความเสียหายให้เกษตรกร


การใช้จุลินทรีย์ในบ่อเลี้ยงกุ้งและบ่อเลี้ยงปลา สัตว์น้ำทุกชนิด


น้ำเน่าเสียในบ่อเลี้ยงกุ้งและบ่อเลี้ยงปลาเกิดจากจุลินทรีย์อีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายไม่สมบูรณ์จึงก่อให้เกิดของเสียเกิดขึ้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดก็คือ การนำจุลินทรีย์กลุ่มที่มีประสิทธิภาพสูงเข้าไปย่อยสลายแทนที่ เพื่อให้ของเสียจากอาหารสัตว์และอื่นๆถูกย่อยสลายโดยสมบูรณ์ ดังนั้นน้ำที่เสียอยู่ก็จะกลับกลายเป็นน้ำดี มีออกซิเจนสูงตามปกติ ซึ่งจะมีผลทำให้สุขภาพปลาและกุ้งที่เลี้ยงดีไปด้วย การเจริญเติบโตก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว และไม่สร้างมลภาวะให้สิ่งแวดล้อม ไม่มีสารเคมีตกค้างในสัตว์เลี้ยงและพื้นดินในบ่อ ผู้บริโภคปลาและกุ้งปลอดภัย

การใช้จุลินทรีย์ต่อครั้ง


ทั้งบ่อเลี้ยงกุ้งและบ่อเลี้ยงปลา การใช้จุลินทรีย์จะใช้เหมือนกัน ให้ใช้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ใช้จุลินทรีย์ในปริมาณ 1 ลิตร/ต่อพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้งหรือบ่อเลี้ยงปลา 1 ไร่/ลึก 1 เมตร ความถี่ในการใช้ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ใช้ไปจนกว่าจะจับกุ้ง+จับปลาได้ทั้งหมด การใช้ให้เทไคโตซานฟาร์มOKซึ่งเป็นจุลินทรีย์ผสมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 แล้วตักสาดกระจายไปทั่วๆน้ำในบ่อ ช่วงเวลาการใช้ ควรใช้ฟาร์มOKจุลินทรีย์ในช่วงเวลาใดก็ได้ ไม่จำกัดเวลาใช้ สามารถใช้ได้ตลอดเวลาหรือเจอปัญหาระหว่างเลี้ยง

*ไคโตซานฟาร์มOKนาโนเทค ไคโตซานเพียว100% อาหารเสริมสัตว์ เร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ และช่วยยับยั้งเชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต เป็นสารสกัดจากธรรมชาติสะอาด
เหมาะสำหรับสัตว์ทุกชนิด
* นวัตกรรมไคโตซานจากประเทศญี่ปุ่น
* ไคโตซานไม่ผสมสารเคมี
* ไคโตซานเป็นสายพันธุ์สั้น
* ไคโตซานเข้มข้นกว่าเท่าตัว
* ไคโตซานไม่ใช่ปุ๋ย
* ไคโตซานไม่ใช่ยาปฎิชีวนะ
* ลดต้นทุน ช่วยเพิ่มผลผลิต
* ลดระยะการเลี้ยง
* ช่วยย่อยสลายของเสีย
* ปรับค่าPHของน้ำสมดุลคงที่
* ผสมเคลือบเม็ดอาหาร
* ช่วยสร้างเปลือกเร็ว
* ลอกคราบง่าย
* ปลดปล่อยไนโตเจน
* เพิ่มอ๊อกซิเจนในน้ำ
ช่วยลดโลกร้อน รักษาสิ่งแวดล้อม ดูแลธรรมชาติ


หมายเหตุ: ข้อควรระวัง

จุลินทรีย์ที่ใช้ในบ่อเลี้ยงกุ้งหรือบ่อเลี้ยงปลาต้องมาจากการสังเคราะห์จากหัวเชื้อจุลินทรีย์เท่านั้น ไม่ควรนำน้ำหมักชีวภาพที่ได้จากการหมักพืชผักทั่วไปใช้กับบ่อเลี้ยงกุ้ง เพราะอาจจะทำให้น้ำเสียมากขึ้น กุ้งและปลาตายได้ง่ายๆ มันมีวิธีและเคล็ดลับในการใช้ ใช้ไม่เป็นก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆหรือเกิดประโยชน์น้อย แต่ถ้าใช้เป็นและใช้ถึง ประโยชน์จะมากมายมหาศาล
แนะนำ... : ให้ใช้ไคโตซานฟาร์มOKซึ่งเป็นจุลินทรีย์แกรมบวกย่อยสลายของเสีย แก้ปัญหาน้ำเน่าเหม็น กำจัดกลิ่นเหม็นรุนแรง แก้ปัญหาตรงจุดได้ผลดี โดยที่เกษตรกรไม่ต้องมาหมักน้ำจุลินทรีย์ชีวะภาพให้เสียเวลา เอาเวลาที่เหลือไปทำประโยชน์อย่างอื่น หรือพักผ่อนบ้างเพื่อสุขภาพของตัวเกษตรกรเอง
จะเชื่อหรือไม่เชื่อเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลหรือนานาจิตตัง ถ้าเกษตรกรยอมที่จะสูญเสียประโยชน์ต่อไป ก็เป็นเรื่องของเกษตรกร ไม่เกี่ยวกับเราใดๆทั้งสิ้น เราเพียงเป็นผู้แนะนำในทางที่เกิดประโยชน์เท่านั้น ผลประโยชน์เป็นของเกษตรกรล้วนๆ



ลูกค้าเกษตรกรเลี้ยงกุ้งและเลี้ยงปลา พอใจในการใช้งานถึง 90%


🛵* ปัจจุบัน.ไคโตซานฟาร์มOKได้มีการนำมาในการเพาะเลี้ยงกุ้งและสัตว์น้ำอย่างแพร่หลาย ณ.ตอนนี้กำลังโกลด์อินเตอร์ และมีการพัฒนาการใช้งานให้กว้างขวางแก่สัตว์น้ำทั่วทุกภาคส่วนทุกพื้นที่ทั่วไทย https://farmokl2512.blogspot.com/2019/11/blog-post_11.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
...................................
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม จัดส่งฟรีทั่วประเทศ
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย
..................................








ขอบคุณ
เคดิต : http://www.bangkokshow.com/


#กุ้งขี้ขาว #กุ้งขาวแวนาไม #กุ้งกุลาดำ #กุ้งก้ามกราม #บำบัดน้ำเสีย #จุลินทรีย์ชีวะภาพ #กำจัดกลิ่นเหม็นรุนแรง #โรคกุ้งระบาด #กุ้งป่วย #พันธุ์ลูกกุ้ง


โรคจุดขาวในกุ้งขาวแวนาไม มีทางรักษาให้หายได้


โรคจุดขาวในกุ้งขาวแวนาไม มีทางรักษาหายได้(White spot disease, WSD)

โรคจุดขาว หรือเรียกว่า โรคตัวแดงดวงขาวในกุ้งขาวแวนาไม มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส (White spot syndrome virus, WSSV) โดยพบรอยโรค (lesion) เป็นจุดขาวหรือดวงขาวใต้เปลือกส่วนหัวและโคนหาง บางครั้งมีลักษณะตัวแดงร่วมด้วย และทำให้กุ้งตายได้เป็นโรคระบาดที่อยู่ในบัญชีโรคสัตว์น้ำขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ และอยู่ในกฎกระทรวง พ.ศ. 2548 ภายใต้พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2499 โรคนี้เกิดจากกุ้งติดเชื้อ WSSV ซึ่งมีสารพันธุกรรมเป็น DNA สายคู่ (dsDNA) ขนาด 305 kbp อยู่ในวงศ์ Nimaviridae สกุล Whispovirus ไวรัสมีรูปร่างเป็นแท่งจนถึงรูปไข่ ขนาด 80 - 120 x 250 - 380 นาโนเมตร มีผนังหุ้ม (envelope) มีรายงานการตรวจพบโรคนี้ในกุ้ง Penaeus monodon (กุ้งกุลาดำ), P. vannamei (กุ้งขาว), P japonicus, P. chinensis, P. indicus, P. merguiensis, P. setiferus และ P. stylirostris นอกจากนี้ยังพบได้ในปูหลายชนิด จากการทดลองพบว่าเชื้อ WSSV สามารถทำให้กุ้ง P. articus, P. duodarum และ P. setiferus ตายได้ การระบาดของโรคจุดขาวมีรายงานเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2536 ในฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้ง P. japonicus แห่งหนึ่ง ที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจากนั้นโรคได้แพร่ระบาดไปยังประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น รวมทั้งประเทศในทวีปอเมริกา โดยเรียกชื่อไวรัสนี้แตกต่างกันไป สำหรับประเทศไทยมีรายงานการพบโรคจุดขาวครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2537 ที่ จ. ตรัง และเรียกไวรัสนี้ว่า systemic ectodermal and mesodermal baculovirus (SEMBV)

เมื่อกุ้งติดเชื้อ WSSV เชื้อจะทำลายเนื้อเยื่อที่มีต้นกำเนิดจากเอ็กโทเดิร์มและเมโซเดิร์ม เช่น เยื่อบุผิวชั้นใต้เปลือก (cuticular epithelium) เยื่อบุทางเดินอาหาร เหงือก หัวใจ เนื้อเยื่อประสาท กล้ามเนื้อ และอวัยวะสร้างเม็ดเลือด ทำให้นิวเคลียสใหญ่ (hypertrophied nuclei) จนเต็มหรือเกือบเต็มเซลล์ ที่เรียกว่า Cowdry type A inclusion กุ้งสามารถติดโรคจุดขาวได้โดยตรงจากกุ้งแม่พันธุ์โดยถ่ายทอดเชื้อผ่านทางไข่ นอกจากนี้กุ้งยังสามารถติดเชื้อ WSSV ที่แพร่มากับน้ำในบ่อเลี้ยง หรือกุ้งที่แข็งแรงกินกุ้งที่ติดเชื้อ (cannibalism) เข้าไป โรคนี้ติดต่อทางอ้อมได้โดยผ่านสัตว์พวกกุ้ง กั้ง ปู (crustacean) มากกว่า 40 ชนิด แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีรายงานที่แสดงกลไกการแพร่เชื้อที่ชัดเจน แต่พบว่ากุ้งปกติสามารถติดเชื้อจากกุ้งป่วยที่อยู่ร่วมกันได้ ภายใน 36 - 48 ชั่วโมง และจากสื่อนำโรคเชิงกล (mechanical vector) ที่นำเชื้อได้ พบในกุ้งติดเชื้อ WSSV จะแตกต่างกันไป ขึ้นกับอายุกุ้งและการจัดการฟาร์ม อย่างไรก็ดีความรุนแรงของการระบาดจะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดอื่นๆ ด้วย เช่น คุณภาพน้ำไม่เหมาะสม กุ้งป่วยจะว่ายใกล้ผิวน้ำหรือเกาะที่ขอบบ่อ หากเปิดเปลือกส่วนหัวออกดูจะสังเกตเห็นจุดขาวได้ง่าย หลังจากเริ่มแสดงอาการแล้วกุ้งจะตายอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม จุดขาวที่เปลือกอาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ เช่น น้ำในบ่อมีความเป็นด่างสูง เชื้อแบคทีเรีย และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอาการป่วยมักพบในกุ้งระยะวัยรุ่นที่ติดเชื้อ ซึ่งมีได้ 3 แบบ คือ

1. แบบเฉียบพลัน
กุ้งที่ติดเชื้อจะป่วยและตายอย่างรวดเร็วภายใน 1 - 5 วัน หลังจากเริ่มแสดงอาการ อัตราการตายสะสมระหว่าง 80 - 100% มีรอยโรคจุดขาวหรือดวงขาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 - 2 มิลลิเมตร ที่ในเปลือก กุ้งอาจมีสีชมพูถึงแดง ไม่กินอาหาร ว่ายน้ำเชื่องช้า มักอยู่ใกล้ผิวน้ำหรือเกาะที่ขอบบ่อ

2. แบบกึ่งเฉียบพลัน
กุ้งที่ติดเชื้อจะทยอยป่วยและตายไปเรื่อยๆ มีระยะเวลาไม่แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นกับคุณภาพน้ำและการจัดการฟาร์ม กุ้งอาจมีหรือไม่มีรอยโรคเป็นจุดขาว กินอาหารลดลง เคลื่อนไหวเชื่องช้า มีอัตราการตายสะสม 30 - 80% ตลอดระยะเวลาที่เลี้ยง

3. แบบเรื้อรัง
กุ้งที่ติดเชื้ออาจมีหรือไม่มีรอยโรคเป็นจุดขาว และไม่ตาย แพร่ระบาดตลอดเวลา

รูปภาพจากเนต

ปัญหาเหล่านี้!! เรามีตัวช่วยแก้ปัญหาบ่อเลี้ยงกุ้ง โดย การใช้ตามอัตราที่แนะนำตลอดการเลี้ยงจนถึงจับกุ้งขาย กุ้งจะไม่ป่วยระหว่างการเลี้ยงกุ้ง


‼#อัตราการใช้ ตั้งแต่เริ่มเตรียมบ่อเลี้ยง เพียง 4 ขั้นตอน ดังนี้

ฉีดพื้นบ่อเลี้ยงทุกครั้ง ตัดตอนสปอร์เชื้อโรคต่างๆที่อยู่ในดินพื้นบ่อเลี้ยง

‼ขั้นตอนที่ 1 ใช้ฉีดพ่นพื้นบ่อ 1 ไร่/ลึก 1 เมตร(1,600 ตรม.)ใช้ไคโตซานฟาร์มOK จำนวน 1 ลิตร/น้ำเปล่า 200 ลิตร ฉีดพ่นพื้นบ่อเพื่อฆ่าเชื้อโรคเชื้อไวรัสปรสิตเชื้อราแบคทีเรียที่ฝั่งตัวอยู่ใต้พื้นบ่อไม่ให้แตกตัวกระจายทำให้ฝ่อไปเอง แล้วตากบ่อทิ้งไว้ 7-10วันโดยประมาณ เพื่อให้ฟาร์มOKทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ผลดีนั่นเอง..(ไม่ควรใจร้อนรีบเอาน้ำเข้า)



‼ขั้นตอนที่ 2 ปล่อยน้ำลงบ่อเลี้ยงให้เต็มที่(เลี้ยงระบบปิด) ใช้ไคโตซานฟาร์มOKจำนวน 1 ลิตร/ใช้กับพื้นที่บ่อเลี้ยง1ไร่/ลึก 1เมตร/ผสมน้ำเปล่าสาดลงในบ่อเลี้ยง เพื่อช่วยจับสารตะกอนแขวนลอยในมวลน้ำ ทำให้น้ำโปร่ง และช่วยปรับค่า PH ให้สมดุลคงที่ก่อนปล่อยกุ้ง ควรใช้อยู่เป็นประจำทุก 7 วัน และควรมีบ่อพักน้ำที่เป็นของเราเอง แล้วใช้ฟาร์มOKปรับฆ่าเชื้อในบ่อพักน้ำจากนั้นนำน้ำไปตรวจหาเชื้อที่กรมประมงให้เรียบร้อย ก่อนดูดเข้าบ่อเลี้ยง ป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด..
(หมายเหตุ:ไม่ควรเติมน้ำจากข้างนอกเข้ามาในบ่อเลี้ยงเด็ดขาด หากเลี้ยงระบบปิดได้ควรเลี้ยงเพียงน้ำเดียว)


‼ขั้นตอนที่ 3 ก่อนปล่อยลูกกุ้งลงบ่อ ผสมน้ำลงในถัง 200 ลิตร ใส่ไคโตซานฟาร์มOK 100 ซีซี.ลงในถังลูกกุ้งปล่อยไว้ประมาณ 20 นาที เพื่อฆ่าเชื้อไวรัสแบคทีเรียที่ติดมากับลูกกุ้ง แล้วค่อยปล่อยลูกกุ้งลงสู่บ่อเลี้ยง ลดอัตราการสูญเสีย ลูกกุ้งจะแข็งแรง ลอกคราบเร็ว โตไว และไม่เครียด (ควรใช้ควบคู่ กับ ปูนแร่ธาตุที่ทำให้เปลือกแข็งเร็ว) เพราะฟาร์มOKมีสารไคตินเยอะม๊าก ช่วยกุ้งสะสมการสร้างเปลือกและลอกคราบง่าย กุ้งจะโตเร็วมาก


‼ขั้นตอนที่ 4 อัตราการใช้คลุกอาหารกุ้ง
ใช้ไคโตซานฟาร์มOKจำนวน 1 ลิตร + น้ำเปล่า 12 ลิตร + ผสมอาหารกุ้ง 100 กิโลกรัม ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันผึ่งให้แห้งพอดี (แนะนำให้ใช้ควบคู่ กับ สารเสริมบำรุงตับกุ้ง)
#วิธีใช้ ควรใช้ฟาร์มOKผสมกับน้ำเปล่าก่อนแล้วคลุกเคล้ากับอาหารให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยใส่สารเสริมบำรุงตับกุ้งคลุกเคล้าตามอีกที ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันผึ่งให้แห้งพอดี (อย่าแห้งกรอบจนเกินไป) เก็บใส่กระสอบไว้ แล้วค่อยตักแบ่งไปให้กุ้งกินทุกมื้อทุกวันป้องกันกุ้งป่วย


‼ ช่วยให้กุ้งสร้างเปลือกได้เร็ว ,ช่วยให้กุ้งลอกคราบง่ายโตไว ,ช่วยแก้ปัญหาเปลือกหลวมผอมบางลีบ ,เหมาะสำหรับกุ้งที่ไม่ลอกคราบเลย ,กุ้งที่เปลือกเป็นแผลลอกคราบไม่ออก ,หรือเอาไปช่วยกุ้งที่เป็นขี้ขาวก็หาย,ใช้บำบัดน้ำเสียในบ่อพักก็ได้แก้ปัญหาแก๊สไข่เน่า,ไขมันเกาะ,สีสนิม,สลายน้ำมันเครื่อง,ช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นรุนแรงของน้ำเน่าหรือมูลสัตว์ทุกชนิด


‼ ประกอบไปด้วย เช่น สารไคติน -ไคโตซาน จุลินทรีย์ แอดติโอมายซีส เชื้อราไตรโคเดอร์มา แลคโตบาซิลัส สารแคลเซี่ยม สารคอปเปอร์ สารโพแทสเซียม และแร่ธาตุต่างๆที่มีอนุภาคเล็กอยู่ในรูปแบบของไคโตซานฟาร์มOKที่กุ้งสามารถดูดซึมได้ทันที


‼ ช่วยทำให้เลี้ยงกุ้งง่ายขึ้น สามารถใช้ได้ตลอดไม่จำกัด ใช้ได้เท่าที่ต้องการ ใช้ได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหาระหว่างเลี้ยง..

หมายเหตุในการใช้ : ควรใช้ปรับน้ำในบ่อกุ้งทุกๆ7วัน เพื่อลดไนไตร์ แอมโมเนีย แพลงก์ตอนบลูม ปรับค่าพีเอชให้สมดุลคงที่ และคลุกอาหารให้กุ้งกินอย่างสม่ำเสมอทุกวัน..
ลูกค้าเกษตรกรเลี้ยงกุ้งพอใจในการใช้งานถึง 90%

................................

*🛵* สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่..👇
*🚙*ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย LINE : 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

................................

1#"คอนเฟริม์ จบทุกปัญหาบ่อกุ้งโรคระบาด" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/02/ok.html?m=1<<<คลิกเลย

................................

2#"เลี้ยงกุ้งง่ายๆ จบทุกปัญหา การเลี้ยงกุ้ง" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/01/blog-post.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

.................................

3#"พิชิตกุ้งขี้ขาว คอนเฟริม์ ขี้ขาวหายชัวร์ ขี้ขาวหายจริงๆ" https://farmokl2512.blogspot.com/2018/12/blog-post.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

...............................

4#"ประโยชน์ และ คุณสมบัติพิเศษ ของไคโตซาน ฟาร์มOK"https://farmokl2512.blogspot.com/2018/10/ok.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

................................

5#"แก้ขี้ขาวหายจริง พื้นที่จังหวัดสงขลา"
https://farmokl2512.blogspot.com/2018/09/ok.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

................................

6#"เทรนกำลังมาแรง!!พื้นที่ไหนบ้างใช้แล้วขี้ขาวหายชัวร์ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ" https://farmokl2512.blogspot.com/2018/09/2538-2544-2548-340000-32000-ok-ems-ok.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

................................

7#"กุ้งขาวใช้อะไรเลี้ยงถึงไม่เป็นขี้ขาวพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา" https://farmokl2512.blogspot.com/2018/09/blog-post_19.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

..................................

8#"โรคEHP และ โรค SHIV โรคระบาดในกุ้ง" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/05/ehp-shiv.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

..................................

9#"ไคโตซานฟาร์มOK มีประโยชน์ต่อการเลี้ยงกุ้งอย่างไร" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/05/ok.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

.................................

10#"เลี้ยงกุ้งได้ ปลอดโรค รู้เขา รู้เรา เลี้ยงกุ้งง่าย ได้กำไรทุกค๊อบ ไม่เสียเวลาในการเลี้ยง-พื้นที่" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/05/ok_16.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

..................................

11#"ไขกุญแจแห่งความสำเร็จในการควบคุมโรคระบาด EHP กับ SHIV / EMS https://farmokl2512.blogspot.com/2019/06/ehp-shiv-ems.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

..................................

12#แก้ขี้ขาว ง่ายนิดเดียว..https://farmokl2512.blogspot.com/2019/09/blog-post.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

..................................

13.ปัจจุบัน.ไคโตซานฟาร์มOKได้มีการนำมาในการเพาะเลี้ยงกุ้งและสัตว์น้ำอย่างแพร่หลาย ณ.ตอนนี้กำลังโกลด์อินเตอร์ และมีการพัฒนาการใช้งานให้กว้างขวางแก่สัตว์น้ำทั่วทุกภาคส่วนทุกพื้นที่ทั่วไทย https://farmokl2512.blogspot.com/2019/11/blog-post_11.html?m=1>>>คลิ๊กเลย

...................................

*🛵* สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่..👇
*🚙*ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย LINE : 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย
..................................






................................
ขอบคุณข้อมูลจาก...
เคดิต : สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์


#กุ้งกุลาดำ #กุ้งขาวแวนาไม #กุ้งขี้ขาว #กุ้งดวงขาว #กุ้งตัวแดง #กุ้งตายด่วน #โรคกุ้งระบาด #บำบัดน้ำเสีย #กำจัดกลิ่นรุนแรง #ปรับพีเอช #สร้างเปลือก #ลอกคราบ

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

กาแฟ มีประโยชน์และมีโทษต่อสุขภาพควรรู้

กาแฟ มีประโยชน์และโทษต่อสุขภาพที่ทุกคนควรรู้

กาแฟ หนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมที่หลายคนดื่มในยามเช้าหรือยามง่วงนอน เพื่อปลุกสมองให้ตื่นตัว คลายความเหนื่อยล้าทั้งทางกายและทางจิตใจ และนอกจากประโยชน์ที่คุ้นเคยกันนี้ เชื่อว่ากาแฟยังอาจมีประโยชน์ทางการแพทย์ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ป้องกันโรคพาร์กินสัน โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เก๊าท์ อัลไซเมอร์ หืด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม เป็นต้น
ทั้งนี้สรรพคุณทางการแพทย์และทางสุขภาพของกาแฟนั้นเชื่อว่ามาจากคาเฟอีน สารกระตุ้นที่พบได้สูงจากกาแฟที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง หัวใจ และกล้ามเนื้อ การศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกาแฟในการป้องกันและรักษาโรคส่วนใหญ่จึงมุ่งไปที่สารคาเฟอีนในกาแฟเป็นหลัก โดยกาแฟสำเร็จรูปโดยทั่วไป 1 แก้วประกอบด้วยคาเฟอีนประมาณ 85-100 มิลลิกรัม แต่หากเป็นกาแฟชงสดจะมีคาเฟอีน 100-150 มิลลิกรัมต่อแก้ว ส่วนกาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีนนั้นก็ยังคงมีคาเฟอีนประมาณ 8 มิลลิกรัมต่อแก้ว ทั้งนี้กาแฟที่ผ่านกระบวนการคั่วจนเข้มจะมีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟสีอ่อน

ประโยชน์ของกาแฟที่มีต่อสุขภาพ
ประโยชน์ที่น่าจะได้ผล (Likely effective)

เพิ่มความตื่นตัวของสมอง การดื่มกาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทั้งหลายตลอดวันดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความตื่นตัวของร่างกายและสมอง ปลุกความสดชื่นให้สมองปลอดโปร่ง โดยหลายงานวิจัยชี้ว่าการได้รับคาเฟอีนสามารถช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าในระหว่างวัน เช่น การศึกษาหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมทดลองสุขภาพดีรับคาเฟอีน 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ตอน 9 โมงเช้าและบ่ายโมง เป็นเวลานาน 3 วัน ซึ่งพบว่าคาเฟอีนช่วยลดความง่วง เพิ่มความตื่นตัวและความจดจ่อในช่วงระหว่างวันได้ดี
นอกจากนี้กาแฟยังเป็นตัวเลือกของผู้ที่อดนอนหรือนอนไม่เต็มอิ่มในคืนก่อนแล้วยังต้องการความตื่นตัวในวันต่อไป มีการศึกษาประสิทธิภาพของการดื่มกาแฟในชายสุขภาพดีที่อดนอนเป็นเวลา 48 ชั่วโมง พบว่าคาเฟอีนช่วยเพิ่มความตื่นตัวและคลายความอ่อนล้าจากการอดนอนได้อย่างดี ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการศึกษาพบว่าการผสมคาเฟอีนเข้ากับน้ำตาลเป็นเครื่องดื่มชูกำลังยังน่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้ความคิดและการทำงานของสมองได้มากกว่าการได้รับกลูโคสหรือคาเฟอีนเพียงอย่างเดียว

ประโยชน์ที่อาจได้ผล (Possibly effective)
ป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคพาร์กินสัน ภาวะอาการที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวผิดปกติและมีอาการสั่นตามร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจากการเสื่อมหรือเสียหายของเซลล์สมองชนิดนี้ งานวิจัยพบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนอย่างกาแฟ ชา และน้ำอัดลมเป็นประจำนั้นมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคได้ การศึกษาหนึ่งที่สนับสนุนสรรพคุณข้อนี้ของคาเฟอีน ทดลองให้อาสาสมัคร 317 คนดื่มกาแฟและเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีคาเฟอีน ผลลัพธ์พบว่าการได้รับคาเฟอีนในปริมาณสูงมีความสัมพันธ์กับอัตราความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสันที่น้อยลงทั้งในเพศชายและเพศหญิง

ทั้งนี้จากงานวิจัยทั้งหมดที่มี ประสิทธิภาพของคาเฟอีนในการลดความเสี่ยงโรคพาร์กินสันในเพศชายจะขึ้นอยู่กับปริมาณกาแฟที่ได้รับ โดยการดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน 3-4 แก้วต่อวันนั้นพบว่าช่วยให้ความเสี่ยงลดน้อยลงมาก แต่การดื่มเพียง 1-2 แก้วต่อวันก็ช่วยลดอัตราเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
สำหรับผู้หญิง ปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับไม่ได้มีผลต่อระดับความเสี่ยงมากนัก โดยการดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน 1-3 แก้วต่อวันจะให้ผลดีที่สุดในการรับมือกับโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ผลการศึกษาที่น่าสนใจยังพบว่าการดื่มกาแฟจะไม่มีผลต่อการลดโอกาสเสี่ยงจากโรคนี้ในผู้ที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ทั้งเพศชายและเพศหญิง

ป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างกาแฟอย่างน้อยวันละ 400 มิลลิกรัมดูเหมือนจะมีส่วนช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้ โดยจากการศึกษาในผู้ที่ไม่เคยมีประวัติป่วยด้วยโรคนิ่วในถุงน้ำดีมาก่อนจำนวนหลายพันคน ปรากฏว่าความเสี่ยงต่อโรคทั้งชายและหญิงจะยิ่งลดลงเมื่อได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่มากขึ้น โดยการดื่มกาแฟวันละ 800 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่ากับกาแฟประมาณ 4 แก้วขึ้นไปต่อวันจะให้ผลดีในการป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ดีที่สุด

ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง งานวิจัยหนึ่งที่มีผู้เข้าร่วมทดลอง 5,145 คน ดื่มกาแฟวันละ 1 หน่วยบริโภค วันละไม่เกิน 2 หน่วยบริโภค วันละ 2-2.5 หน่วยบริโภค หรือวันละ 2.5 หน่วยบริโภคขึ้นไป ผลการศึกษาชี้ว่าปริมาณการดื่มกาแฟที่มากขึ้นจะยิ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง และยังมีบางงานวิจัยที่กล่าวแนะนำประสิทธิภาพของกาแฟต่อการป้องกันโรคนี้ว่าการรับประทานกาแฟวันละ 3 แก้วอาจช่วยลดโอกาสเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงได้อย่างมีนัยสำคัญ

ทว่าผลการศึกษาที่เป็นไปในทางตรงข้ามก็มีเช่นกัน โดยมีการรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นก่อนหน้างานวิจัยข้างต้น ผลสรุปว่าการบริโภคกาแฟหรือชาที่มีคาเฟอีนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง แต่การบริโภคกาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีนแล้วต่างหากที่มีความสัมพันธ์กับอัตราการเกิดโรคที่ลดลง ผลการศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณในด้านนี้ของกาแฟจึงยังมีความขัดแย้งและไม่อาจสรุปได้ชัดเจน

ป้องกันโรคเบาหวาน จากการศึกษาประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 กาแฟอาจมีส่วนช่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น งานวิจัยหนึ่งที่ศึกษากับผู้ที่ไม่มีโรคเบาหวาน มะเร็ง หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด แล้วพบว่าการดื่มกาแฟในระยะยาวมีส่วนช่วยยับยั้งการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างมีนัยสำคัญ หรือการทดลองในกลุ่มผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ที่พบว่าการดื่มกาแฟโดยไม่ใส่น้ำตาลหรือครีมเทียมอย่างน้อยวันละ 3 ครั้งต่อวันให้ผลดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานในกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรค

ทั้งนี้การศึกษาเกี่ยวกับการใช้กาแฟป้องกันโรคเบาหวานที่มีนั้นยังพบว่าปริมาณที่ให้ผลดีมีความแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มประเทศ เช่น จากการศึกษาในชาวญี่ปุ่น ผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วขึ้นไปจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ลดลง 42 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มกาแฟเพียงวันละ 1 แก้วหรือน้อยกว่า หรือในยุโรปที่พบว่าการรับประทานกาแฟวันละ 5-6 แก้วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานในเพศชาย 30 เปอร์เซ็นต์ และเพศหญิง 61 เปอร์เซ็นต์ กาแฟจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ได้อย่างไร ควรรับประทานเท่าใดจึงจะปลอดภัยนั้นยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

ประโยชน์ที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอจะระบุประสิทธิภาพ

ป้องกันโรคเก๊าท์ บางงานวิจัยแนะนำว่าการดื่มกาแฟอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคเก๊าท์ได้ การศึกษาหนึ่งที่สนับสนุนคุณประโยชน์ด้านนี้ของกาแฟทำการทดลองในหญิงและชายจำนวนมาก โดยแบ่งกลุ่มให้ดื่มกาแฟปกติที่มีคาเฟอีน กาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีน ชา และคาเฟอีนอย่างเดียว เป็นเวลานานกว่า 4 ปี ปรากฏว่าการบริโภคกาแฟในระยะยาวมีส่วนช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์ได้ และพบว่าส่งผลให้ระดับกรดยูริกซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคลดต่ำลง

ทั้งนี้จากการศึกษาไม่พบว่าการดื่มชาหรือคาเฟอีนเพียงอย่างเดียวมีคุณสมบัติป้องกันโรคเก๊าท์ แต่เมื่อเทียบระหว่างกาแฟที่มีคาเฟอีนกับกาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีนแล้ว กาแฟที่มีคาเฟอีนยังคงให้ผลดีกว่าอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของกาแฟในด้านนี้ยังนับว่ามีข้อมูลไม่เพียงพอ ทำให้ไม่อาจยืนยันประสิทธิภาพของการรักษาได้แน่ชัด

ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ มีการกล่าวถึงสรรพคุณของคาเฟอีนต่อการชะลอภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์กันมาก การดื่มกาแฟจะให้ผลดีจริงหรือไม่นั้นก็ยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากยังมีการทดลองในด้านนี้ไม่มากนัก ทั้งนี้ได้มีการทบทวนการศึกษาที่ผ่านมา ซึ่ง 3 ใน 5 ให้การสนับสนุนประโยชน์ของกาแฟในการป้องกันภาวะสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ แต่ 2 ใน 3 งานนั้นเป็นการศึกษาโดยใช้ชาผสมกับกาแฟ ซึ่งคุณประโยชน์ของชาในด้านนี้ก็ยังคลุมเครืออยู่เช่นกัน ส่วนงานวิจัยเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของกาแฟและโรคนี้โดยตรง กล่าวว่าการดื่มกาแฟวันละ 3-5 แก้วตั้งแต่ในช่วงวัยกลางคนอาจมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ในวัยสูงอายุที่ลดลงประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์

ลดอาการปวดศีรษะและไมเกรน หนึ่งในคำแนะนำสำหรับวิธีบรรเทาอาการปวดศีรษะที่อาจเคยได้ยินบ่อยครั้งก็คือการดื่มกาแฟ สาเหตุอาจมาจากการที่คาเฟอีนนั้นมักถูกใช้เป็นส่วนผสมในยาบรรเทาอาการปวดบางชนิด โดยอาจช่วยให้ยามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ทว่าการรับประทานกาแฟที่มีคาเฟอีนนั้นจะช่วยให้หายจากอาการปวดศีรษะได้จริงอย่างที่เชื่อกันหรือไม่ ทางวิทยาศาสตร์เองยังไม่พบคำตอบในเรื่องนี้ ตรงกันข้าม ยังคาดว่าคาเฟอีนอาจเป็นตัวการให้เกิดอาการปวดศีรษะเสียเองได้เช่นกัน

📍เมื่อมีโอกาสเข้ามาจงอย่าปฎิเสธ ถึงจะล้มเหลว นั่นคือประสบการณ์ 10กว่าปีแล้วนะค๊าาา ที่น้ำหนักลดไป 15 กิโลกรัม ไม่มีโยโย่เอ็กเฟ๊ก และไม่กลับมาอ้วนอีกเลย อยากผอม.. อยากลดน้ำหนัก..คลิ๊กเลยค๊า >>>https://farmokl2512.blogspot.com/2018/11/12-2.html?m=1
#ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย LINE
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ>>>คลิ๊กเลยค๊าา


ลดความตึงเครียด ว่ากันว่าการดื่มกาแฟช่วยลดความตึงเครียด แต่หลักฐานการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสรรพคุณลดความเครียดของกาแฟนั้นไม่ยังไม่พบแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการได้รับคาเฟอีนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าในเด็กชั้นมัธยมอีกด้วย

ดีต่อสุขภาพหัวใจ ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ากาแฟให้คุณหรือให้โทษต่อหัวใจกันแน่ โดยเชื่อว่าในกาแฟนั้นอาจมีสารที่สามารถให้ทั้งประโยชน์และโทษต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด บางงานวิจัยกล่าวว่ากาแฟอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และอีกหลาย ๆ งานที่แนะนำว่าการดื่มกาแฟในปริมาณปานกลางสามารถป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ นักวิจัยบางคนจึงคาดว่ากาแฟอาจประกอบด้วยสารอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น

ควบคุมน้ำหนัก กล่าวกันว่ากาแฟสามารถช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วนได้ สำหรับประโยชน์ของกาแฟในด้านนี้ มีการศึกษาบางงานที่แนะนำว่าการดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกวันอาจมีส่วนช่วยควบคุมและลดน้ำหนัก หรือในอีกงานวิจัยหนึ่งที่พบว่ากาแฟหรือคาเฟอีนในกาแฟอาจไปช่วยกระตุ้นอัตราการเผาผลาญและส่งผลให้ทั้งผู้ที่มีน้ำหนักปกติและผู้ที่มีภาวะอ้วนมีน้ำหนักตัวลดลงได้ อย่างไรก็ตาม การศึกษาเหล่านี้ยังเป็นเพียงงานวิจัยที่ทดลองในคนจำนวนไม่มากและมีข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ยังเชื่อถือได้ไม่มากพอ

รักษาโรคหืด อีกคุณประโยชน์ของกาแฟที่ยังเป็นที่สงสัยว่าจะมีประสิทธิภาพต่อการรักษาได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจากการศึกษาที่รวบรวมงานวิจัยด้านนี้ พบว่าคาเฟอีนอาจช่วยให้การทำงานของระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วยโรคนี้ดีขึ้นได้ปานกลางนานถึง 4 ชั่วโมง และอาจต้องแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการได้รับคาเฟอีนก่อนการตรวจการทำงานของปอดเป็นเวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เนื่องจากคาเฟอีนอาจทำให้ผลลัพธ์การตรวจคลาดเคลื่อนได้ คาดว่าหากในอนาคตมีการศึกษาเพิ่มเติมคงได้ทราบกันว่ากาแฟส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคหืดจริงหรือไม่

รักษาโรคตับ การดื่มกาแฟอาจยังให้ผลดีต่อผู้ป่วยโรคตับ โดยมีการทบทวนงานวิจัยที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากการสรุปข้อมูลที่พบในปัจจุบัน งานวิจัยบางงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟอาจมีความสัมพันธ์กับระดับเอนไซม์ตับและผลตรวจการทำงานของตับที่ดียิ่งขึ้นในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคตับทั้งหลาย

ส่วนการดื่มกาแฟในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังนั้นอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็ง ลดอัตราการเกิดเซลล์มะเร็งตับ และการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคตับแข็ง นอกจากนี้ ด้านการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี กาแฟก็อาจมีประโยชน์ในการช่วยให้ผลการรักษาระยะยาวดีขึ้น ทว่าผลการศึกษาทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ากาแฟจะมีประโยชน์ทางการแพทย์มากพอที่จะนำมารักษาผู้ป่วยโรคตับได้

ประโยชน์ที่อาจไม่ได้ผล

การป้องกันโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร จากความเชื่อที่ว่ากาแฟอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในส่วนต่าง ๆ ของระบบย่อยอาหาร เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งในกระเพาะอาหาร การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พบว่าการดื่มกาแฟหรือชาจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งเหล่านี้ได้ ส่วนใหญ่พบว่าการดื่มชาหรือกาแฟไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอัตราการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งหลอดอาหารแต่อย่างใด

การป้องกันมะเร็งเต้านม ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของกาแฟอาจไม่เป็นจริง โดยการศึกษาส่วนใหญ่ไม่พบความสัมพันธ์ของอัตราการเกิดโรคนี้ที่ลดลงในผู้ที่บริโภคกาแฟ ดังงานวิจัยหนึ่งที่เผยว่าการดื่มกาแฟไม่ได้ส่งผลให้อัตราความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในหญิงจำนวน 38,432 คนลดลงจากเดิม

ผลข้างเคียงจากการดื่มกาแฟ

ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีสามารถดื่มกาแฟได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ทั้งนี้การดื่มกาแฟก็เช่นเดียวกับอาหารหรือสมุนไพรอื่น ๆ ที่อาจมีผลข้างเคียงหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้เมื่อรับประทานเกินพอดี โดยเฉพาะเมื่อใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์บางประการหรือดื่มร่วมกับยาบางชนิด ผู้ใช้จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัยและพึงระมัดระวังดังนี้

กาแฟประกอบด้วยสารคาเฟอีนที่สามารถก่อให้เกิดอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย กระวนกระวาย อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ และผลข้างเคียงอื่น ๆ

การดื่มกาแฟในปริมาณมากอาจทำให้ปวดศีรษะ กระสับกระส่าย วิตกกังวล ได้ยินเสียงดังในหู หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะได้

การได้รับกาแฟวันละ 6 แก้วอาจทำให้เกิดการเสพติดกาแฟ ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการวิตกกังวลหรือกระสับกระส่าย

การดื่มกาแฟจนติดเป็นเป็นนิสัยอาจส่งผลให้ขาดกาแฟไม่ได้ และอาจมีอาการที่เกิดจากการขาดคาเฟอีนหากเลิกดื่มกาแฟอย่างฉับพลัน

กาแฟที่ชงแบบไม่กรองอาจมีปริมาณคอเลสเตอรอล ไขมันชนิดไม่ดี และระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์โดยรวมมากกว่ากาแฟชนิดอื่น ซึ่งจะยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ทางที่ดีจึงควรดื่มกาแฟชงแบบกรองเพื่อลดคอเลสเตอรอลเหล่านี้

มีข้อกังวลว่าการดื่มกาแฟมากกว่า 5 แก้วต่อวันอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคหัวใจ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ป่วยด้วยโรคหัวใจนั้น การดื่มกาแฟหลาย ๆ แก้วต่อวันไม่ได้เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจแต่อย่างใด

เป็นที่กังวลเช่นกันว่าการดื่มกาแฟเป็นครั้งคราวอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ในบางคน นอกจากนี้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจสูงและดื่มกาแฟทุกวันแต่ไม่เกินวันละ 1 แก้วยังอาจมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันสูงขึ้นเช่นกัน โดยจะเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากการดื่มกาแฟ ในขณะที่ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำในปริมาณที่มากกว่านั้นดูเหมือนจะไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะนี้

การใช้กาแฟสวนทางทวารอาจไม่ปลอดภัย เพราะสามารถเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงตามมาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

บุคคลที่ควรระมัดระวังในการดื่มกาแฟ

หญิงที่ตั้งครรภ์ควรได้รับคาเฟอีนไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับกาแฟสำเร็จรูปไม่เกิน 2 แก้ว หรือเท่ากับกาแฟชงสด 1 แก้ว หากได้รับกาแฟมากกว่านี้อาจเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการแท้งบุตร คลอดก่อนกำหนด และทารกมีน้ำหนักตัวแรกคลอดน้อยได้ โดยยิ่งได้รับกาแฟมากเท่าใดก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น

การดื่มกาแฟวันละ 1-2 แก้วดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายสำหรับแม่ที่ต้องให้นมบุตรและทารก แต่การดื่มกาแฟในปริมาณมากอาจส่งผลต่อระบบย่อยอาหารของทารก อีกทั้งทำให้เด็กนอนไม่หลับและเกิดอาการหงุดหงิดฉุนเฉียวได้

การให้เด็กดื่มกาแฟอาจไม่ปลอดภัย เพราะอาจมีผลข้างเคียงจากการดื่มที่รุนแรงมากกว่าในผู้ใหญ่

ผู้ป่วยโรควิตกกังวลอาจมีอาการวิตกกังวลที่แย่ลงได้จากการดื่มกาแฟ

ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมีเลือดออกผิดปกติ การดื่มกาแฟอาจยิ่งทำให้อาการแย่ลงได้

การดื่มกาแฟต้มจะยิ่งทำให้ได้รับคอเลสเตอรอลและไขมันชนิดอื่น ๆ ในเลือดสูงขึ้น รวมถึงระดับโฮโมซีสเตอีน (Homocysteine) ในร่างกายที่อาจจะสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจ และยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการดื่มกาแฟนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

บางงานวิจัยแนะนำว่าสารคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟอาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมีรายงานว่ากาแฟอาจไปเพิ่มหรือลดระดับน้ำตาลในเลือดก็ได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงควรใช้กาแฟอย่างระมัดระวังและหมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
การดื่มกาแฟอาจส่งผลให้ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่แล้วมีระดับความดันโลหิตสูงยิ่งขึ้น ทั้งนี้ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำอยู่แล้วอาจได้รับผลกระทบนี้น้อยกว่า

ผู้ป่วยโรคต้อหินไม่ควรดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน เพราะอาจทำให้ความดันภายในดวงตาสูงขึ้น โดยจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ภายใน 30 นาทีแรกและคงอยู่อย่างน้อย 90 นาที

การดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนอาจทำให้แคลเซียมถูกขับออกทางปัสสาวะมากขึ้นจนกระดูกอ่อนแอลง ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนจึงควรจำกัดปริมาณการดื่มกาแฟในแต่ละวันไม่ให้เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 2-3 แก้ว และอาจรับประทานแคลเซียมเสริมเพื่อทดแทนแคลเซียมที่สูญเสียไป
ผู้ที่มีอาการท้องเสียหรือมีโรคลำไส้แปรปรวนอยู่แล้วไม่ควรรับประทานกาแฟ เพราะสารคาเฟอีนในกาแฟอาจทำให้อาการท้องเสียหรืออาการของโรคแย่ลงกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อได้รับในปริมาณมาก

หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีโรคความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของวิตามินดีได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ควรระมัดระวังในการดื่มกาแฟเป็นพิเศษ

ปฏิกิริยาของกาแฟกับยารักษาโรค

ห้ามดื่มกาแฟร่วมกับยาเอฟีดรีน (Ephedrine) เพราะยาชนิดนี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทเช่นเดียวกับกาแฟ การรับประทานควบคู่กันอาจเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงและมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้ ทั้งนี้ยังรวมถึงผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตามที่ประกอบด้วยเอฟีดรีน

ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับกาแฟ เพราะแอกอฮอล์อาจกระตุ้นให้ร่างกายย่อยคาเฟอีนรวดเร็วขึ้น ส่งผลให้มีสารคาเฟอีนในเลือดมากเกินไปจนได้รับผลข้างเคียงอย่างอาการสั่นกระตุก ปวดศีรษะ และหัวใจเต้นเร็ว
ยาที่ควรระมัดระวังเมื่อใช้ร่วมกับกาแฟ ได้แก่ ยาอะดีโนซีน อะเลนโดรเนท โคลซาปีน ไดไพริดาโมล ไดซัลฟิแรม เอสโตรเจน ฟลูวอกซามีน เลโวไทรอกซีน ลิเทียม ยาต้านซึมเศร้ากลุ่ม MAOIs ยาต้านซึมเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก เพนโทบาร์บิทอล ฟีโนไทอาซีนทีโอฟิลลีน เวอราปามิล ยากระตุ้นระบบประสาท ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และยาปฏิชีวนะ

ปริมาณการดื่มกาแฟที่ปลอดภัย

ปริมาณกาแฟที่ใช้รักษาโรคชนิดต่าง ๆ ตามที่มีการศึกษาวิจัยในปัจจุบันและพบว่าใช้ได้อย่างปลอดภัย มีดังนี้

การรักษาอาการปวดศีรษะ ดื่มกาแฟวันละ 250 มิลลิกรัม หรือประมาณ 2 แก้ว
การเพิ่มความรู้สึกตื่นตัว ดื่มกาแฟวันละ 250 มิลลิกรัม หรือประมาณ 2 แก้ว

การป้องกันโรคพาร์กินสัน ดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนวันละ 3-4 แก้ว โดยแต่ละงานวิจัยใช้กาแฟที่มีคาเฟอีนประมาณ 421-2,716 มิลลิกรัม แต่การดื่มประมาณ 124-208 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1-2 แก้วก็อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ทั้งนี้สำหรับผู้หญิงควรรับประทานประมาณวันละ 1-3 แก้วจะให้ผลดีที่สุด

การป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี ได้รับคาเฟอีนในปริมาณวันละ 400 มิลลิกรัมขึ้นไป หรือเทียบเท่ากับกาแฟมากกว่า 2 แก้ว อย่างไรก็ตาม การดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละ 800 มิลลิกรัมนั้นน่าจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด
👉เมื่อมีโอกาสเข้ามาจงอย่าปฎิเสธ ถึงจะล้มเหลว นั่นคือประสบการณ์ 10กว่าปีแล้วนะค๊าที่น้ำหนักลดไป 15 กิโลกรัม ไม่มีโยโย่เอ็กเฟ๊ก และไม่กลับมาอ้วนอีกเลย อยากผอม.. อยากลดน้ำหนัก..คลิ๊กเลยค๊า >>>https://farmokl2512.blogspot.com/2018/11/12-2.html?m=1
#ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย LINE
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ>>>คลิ๊กเลย


........................

เคดิต
บทความPobpad.com
การมีสุขภาพดี