วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

กาแฟ มีประโยชน์และมีโทษต่อสุขภาพควรรู้

กาแฟ มีประโยชน์และโทษต่อสุขภาพที่ทุกคนควรรู้

กาแฟ หนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมที่หลายคนดื่มในยามเช้าหรือยามง่วงนอน เพื่อปลุกสมองให้ตื่นตัว คลายความเหนื่อยล้าทั้งทางกายและทางจิตใจ และนอกจากประโยชน์ที่คุ้นเคยกันนี้ เชื่อว่ากาแฟยังอาจมีประโยชน์ทางการแพทย์ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ป้องกันโรคพาร์กินสัน โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เก๊าท์ อัลไซเมอร์ หืด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม เป็นต้น
ทั้งนี้สรรพคุณทางการแพทย์และทางสุขภาพของกาแฟนั้นเชื่อว่ามาจากคาเฟอีน สารกระตุ้นที่พบได้สูงจากกาแฟที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง หัวใจ และกล้ามเนื้อ การศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกาแฟในการป้องกันและรักษาโรคส่วนใหญ่จึงมุ่งไปที่สารคาเฟอีนในกาแฟเป็นหลัก โดยกาแฟสำเร็จรูปโดยทั่วไป 1 แก้วประกอบด้วยคาเฟอีนประมาณ 85-100 มิลลิกรัม แต่หากเป็นกาแฟชงสดจะมีคาเฟอีน 100-150 มิลลิกรัมต่อแก้ว ส่วนกาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีนนั้นก็ยังคงมีคาเฟอีนประมาณ 8 มิลลิกรัมต่อแก้ว ทั้งนี้กาแฟที่ผ่านกระบวนการคั่วจนเข้มจะมีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟสีอ่อน

ประโยชน์ของกาแฟที่มีต่อสุขภาพ
ประโยชน์ที่น่าจะได้ผล (Likely effective)

เพิ่มความตื่นตัวของสมอง การดื่มกาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทั้งหลายตลอดวันดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความตื่นตัวของร่างกายและสมอง ปลุกความสดชื่นให้สมองปลอดโปร่ง โดยหลายงานวิจัยชี้ว่าการได้รับคาเฟอีนสามารถช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าในระหว่างวัน เช่น การศึกษาหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมทดลองสุขภาพดีรับคาเฟอีน 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ตอน 9 โมงเช้าและบ่ายโมง เป็นเวลานาน 3 วัน ซึ่งพบว่าคาเฟอีนช่วยลดความง่วง เพิ่มความตื่นตัวและความจดจ่อในช่วงระหว่างวันได้ดี
นอกจากนี้กาแฟยังเป็นตัวเลือกของผู้ที่อดนอนหรือนอนไม่เต็มอิ่มในคืนก่อนแล้วยังต้องการความตื่นตัวในวันต่อไป มีการศึกษาประสิทธิภาพของการดื่มกาแฟในชายสุขภาพดีที่อดนอนเป็นเวลา 48 ชั่วโมง พบว่าคาเฟอีนช่วยเพิ่มความตื่นตัวและคลายความอ่อนล้าจากการอดนอนได้อย่างดี ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการศึกษาพบว่าการผสมคาเฟอีนเข้ากับน้ำตาลเป็นเครื่องดื่มชูกำลังยังน่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้ความคิดและการทำงานของสมองได้มากกว่าการได้รับกลูโคสหรือคาเฟอีนเพียงอย่างเดียว

ประโยชน์ที่อาจได้ผล (Possibly effective)
ป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคพาร์กินสัน ภาวะอาการที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวผิดปกติและมีอาการสั่นตามร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจากการเสื่อมหรือเสียหายของเซลล์สมองชนิดนี้ งานวิจัยพบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนอย่างกาแฟ ชา และน้ำอัดลมเป็นประจำนั้นมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคได้ การศึกษาหนึ่งที่สนับสนุนสรรพคุณข้อนี้ของคาเฟอีน ทดลองให้อาสาสมัคร 317 คนดื่มกาแฟและเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีคาเฟอีน ผลลัพธ์พบว่าการได้รับคาเฟอีนในปริมาณสูงมีความสัมพันธ์กับอัตราความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสันที่น้อยลงทั้งในเพศชายและเพศหญิง

ทั้งนี้จากงานวิจัยทั้งหมดที่มี ประสิทธิภาพของคาเฟอีนในการลดความเสี่ยงโรคพาร์กินสันในเพศชายจะขึ้นอยู่กับปริมาณกาแฟที่ได้รับ โดยการดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน 3-4 แก้วต่อวันนั้นพบว่าช่วยให้ความเสี่ยงลดน้อยลงมาก แต่การดื่มเพียง 1-2 แก้วต่อวันก็ช่วยลดอัตราเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
สำหรับผู้หญิง ปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับไม่ได้มีผลต่อระดับความเสี่ยงมากนัก โดยการดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน 1-3 แก้วต่อวันจะให้ผลดีที่สุดในการรับมือกับโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ผลการศึกษาที่น่าสนใจยังพบว่าการดื่มกาแฟจะไม่มีผลต่อการลดโอกาสเสี่ยงจากโรคนี้ในผู้ที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ทั้งเพศชายและเพศหญิง

ป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างกาแฟอย่างน้อยวันละ 400 มิลลิกรัมดูเหมือนจะมีส่วนช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้ โดยจากการศึกษาในผู้ที่ไม่เคยมีประวัติป่วยด้วยโรคนิ่วในถุงน้ำดีมาก่อนจำนวนหลายพันคน ปรากฏว่าความเสี่ยงต่อโรคทั้งชายและหญิงจะยิ่งลดลงเมื่อได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่มากขึ้น โดยการดื่มกาแฟวันละ 800 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่ากับกาแฟประมาณ 4 แก้วขึ้นไปต่อวันจะให้ผลดีในการป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ดีที่สุด

ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง งานวิจัยหนึ่งที่มีผู้เข้าร่วมทดลอง 5,145 คน ดื่มกาแฟวันละ 1 หน่วยบริโภค วันละไม่เกิน 2 หน่วยบริโภค วันละ 2-2.5 หน่วยบริโภค หรือวันละ 2.5 หน่วยบริโภคขึ้นไป ผลการศึกษาชี้ว่าปริมาณการดื่มกาแฟที่มากขึ้นจะยิ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง และยังมีบางงานวิจัยที่กล่าวแนะนำประสิทธิภาพของกาแฟต่อการป้องกันโรคนี้ว่าการรับประทานกาแฟวันละ 3 แก้วอาจช่วยลดโอกาสเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงได้อย่างมีนัยสำคัญ

ทว่าผลการศึกษาที่เป็นไปในทางตรงข้ามก็มีเช่นกัน โดยมีการรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นก่อนหน้างานวิจัยข้างต้น ผลสรุปว่าการบริโภคกาแฟหรือชาที่มีคาเฟอีนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง แต่การบริโภคกาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีนแล้วต่างหากที่มีความสัมพันธ์กับอัตราการเกิดโรคที่ลดลง ผลการศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณในด้านนี้ของกาแฟจึงยังมีความขัดแย้งและไม่อาจสรุปได้ชัดเจน

ป้องกันโรคเบาหวาน จากการศึกษาประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 กาแฟอาจมีส่วนช่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น งานวิจัยหนึ่งที่ศึกษากับผู้ที่ไม่มีโรคเบาหวาน มะเร็ง หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด แล้วพบว่าการดื่มกาแฟในระยะยาวมีส่วนช่วยยับยั้งการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างมีนัยสำคัญ หรือการทดลองในกลุ่มผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ที่พบว่าการดื่มกาแฟโดยไม่ใส่น้ำตาลหรือครีมเทียมอย่างน้อยวันละ 3 ครั้งต่อวันให้ผลดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานในกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรค

ทั้งนี้การศึกษาเกี่ยวกับการใช้กาแฟป้องกันโรคเบาหวานที่มีนั้นยังพบว่าปริมาณที่ให้ผลดีมีความแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มประเทศ เช่น จากการศึกษาในชาวญี่ปุ่น ผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วขึ้นไปจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ลดลง 42 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มกาแฟเพียงวันละ 1 แก้วหรือน้อยกว่า หรือในยุโรปที่พบว่าการรับประทานกาแฟวันละ 5-6 แก้วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานในเพศชาย 30 เปอร์เซ็นต์ และเพศหญิง 61 เปอร์เซ็นต์ กาแฟจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ได้อย่างไร ควรรับประทานเท่าใดจึงจะปลอดภัยนั้นยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

ประโยชน์ที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอจะระบุประสิทธิภาพ

ป้องกันโรคเก๊าท์ บางงานวิจัยแนะนำว่าการดื่มกาแฟอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคเก๊าท์ได้ การศึกษาหนึ่งที่สนับสนุนคุณประโยชน์ด้านนี้ของกาแฟทำการทดลองในหญิงและชายจำนวนมาก โดยแบ่งกลุ่มให้ดื่มกาแฟปกติที่มีคาเฟอีน กาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีน ชา และคาเฟอีนอย่างเดียว เป็นเวลานานกว่า 4 ปี ปรากฏว่าการบริโภคกาแฟในระยะยาวมีส่วนช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์ได้ และพบว่าส่งผลให้ระดับกรดยูริกซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคลดต่ำลง

ทั้งนี้จากการศึกษาไม่พบว่าการดื่มชาหรือคาเฟอีนเพียงอย่างเดียวมีคุณสมบัติป้องกันโรคเก๊าท์ แต่เมื่อเทียบระหว่างกาแฟที่มีคาเฟอีนกับกาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีนแล้ว กาแฟที่มีคาเฟอีนยังคงให้ผลดีกว่าอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของกาแฟในด้านนี้ยังนับว่ามีข้อมูลไม่เพียงพอ ทำให้ไม่อาจยืนยันประสิทธิภาพของการรักษาได้แน่ชัด

ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ มีการกล่าวถึงสรรพคุณของคาเฟอีนต่อการชะลอภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์กันมาก การดื่มกาแฟจะให้ผลดีจริงหรือไม่นั้นก็ยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากยังมีการทดลองในด้านนี้ไม่มากนัก ทั้งนี้ได้มีการทบทวนการศึกษาที่ผ่านมา ซึ่ง 3 ใน 5 ให้การสนับสนุนประโยชน์ของกาแฟในการป้องกันภาวะสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ แต่ 2 ใน 3 งานนั้นเป็นการศึกษาโดยใช้ชาผสมกับกาแฟ ซึ่งคุณประโยชน์ของชาในด้านนี้ก็ยังคลุมเครืออยู่เช่นกัน ส่วนงานวิจัยเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของกาแฟและโรคนี้โดยตรง กล่าวว่าการดื่มกาแฟวันละ 3-5 แก้วตั้งแต่ในช่วงวัยกลางคนอาจมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ในวัยสูงอายุที่ลดลงประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์

ลดอาการปวดศีรษะและไมเกรน หนึ่งในคำแนะนำสำหรับวิธีบรรเทาอาการปวดศีรษะที่อาจเคยได้ยินบ่อยครั้งก็คือการดื่มกาแฟ สาเหตุอาจมาจากการที่คาเฟอีนนั้นมักถูกใช้เป็นส่วนผสมในยาบรรเทาอาการปวดบางชนิด โดยอาจช่วยให้ยามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ทว่าการรับประทานกาแฟที่มีคาเฟอีนนั้นจะช่วยให้หายจากอาการปวดศีรษะได้จริงอย่างที่เชื่อกันหรือไม่ ทางวิทยาศาสตร์เองยังไม่พบคำตอบในเรื่องนี้ ตรงกันข้าม ยังคาดว่าคาเฟอีนอาจเป็นตัวการให้เกิดอาการปวดศีรษะเสียเองได้เช่นกัน

📍เมื่อมีโอกาสเข้ามาจงอย่าปฎิเสธ ถึงจะล้มเหลว นั่นคือประสบการณ์ 10กว่าปีแล้วนะค๊าาา ที่น้ำหนักลดไป 15 กิโลกรัม ไม่มีโยโย่เอ็กเฟ๊ก และไม่กลับมาอ้วนอีกเลย อยากผอม.. อยากลดน้ำหนัก..คลิ๊กเลยค๊า >>>https://farmokl2512.blogspot.com/2018/11/12-2.html?m=1
#ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย LINE
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ>>>คลิ๊กเลยค๊าา


ลดความตึงเครียด ว่ากันว่าการดื่มกาแฟช่วยลดความตึงเครียด แต่หลักฐานการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสรรพคุณลดความเครียดของกาแฟนั้นไม่ยังไม่พบแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการได้รับคาเฟอีนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าในเด็กชั้นมัธยมอีกด้วย

ดีต่อสุขภาพหัวใจ ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ากาแฟให้คุณหรือให้โทษต่อหัวใจกันแน่ โดยเชื่อว่าในกาแฟนั้นอาจมีสารที่สามารถให้ทั้งประโยชน์และโทษต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด บางงานวิจัยกล่าวว่ากาแฟอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และอีกหลาย ๆ งานที่แนะนำว่าการดื่มกาแฟในปริมาณปานกลางสามารถป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ นักวิจัยบางคนจึงคาดว่ากาแฟอาจประกอบด้วยสารอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น

ควบคุมน้ำหนัก กล่าวกันว่ากาแฟสามารถช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วนได้ สำหรับประโยชน์ของกาแฟในด้านนี้ มีการศึกษาบางงานที่แนะนำว่าการดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกวันอาจมีส่วนช่วยควบคุมและลดน้ำหนัก หรือในอีกงานวิจัยหนึ่งที่พบว่ากาแฟหรือคาเฟอีนในกาแฟอาจไปช่วยกระตุ้นอัตราการเผาผลาญและส่งผลให้ทั้งผู้ที่มีน้ำหนักปกติและผู้ที่มีภาวะอ้วนมีน้ำหนักตัวลดลงได้ อย่างไรก็ตาม การศึกษาเหล่านี้ยังเป็นเพียงงานวิจัยที่ทดลองในคนจำนวนไม่มากและมีข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ยังเชื่อถือได้ไม่มากพอ

รักษาโรคหืด อีกคุณประโยชน์ของกาแฟที่ยังเป็นที่สงสัยว่าจะมีประสิทธิภาพต่อการรักษาได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจากการศึกษาที่รวบรวมงานวิจัยด้านนี้ พบว่าคาเฟอีนอาจช่วยให้การทำงานของระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วยโรคนี้ดีขึ้นได้ปานกลางนานถึง 4 ชั่วโมง และอาจต้องแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการได้รับคาเฟอีนก่อนการตรวจการทำงานของปอดเป็นเวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เนื่องจากคาเฟอีนอาจทำให้ผลลัพธ์การตรวจคลาดเคลื่อนได้ คาดว่าหากในอนาคตมีการศึกษาเพิ่มเติมคงได้ทราบกันว่ากาแฟส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคหืดจริงหรือไม่

รักษาโรคตับ การดื่มกาแฟอาจยังให้ผลดีต่อผู้ป่วยโรคตับ โดยมีการทบทวนงานวิจัยที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากการสรุปข้อมูลที่พบในปัจจุบัน งานวิจัยบางงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟอาจมีความสัมพันธ์กับระดับเอนไซม์ตับและผลตรวจการทำงานของตับที่ดียิ่งขึ้นในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคตับทั้งหลาย

ส่วนการดื่มกาแฟในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังนั้นอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็ง ลดอัตราการเกิดเซลล์มะเร็งตับ และการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคตับแข็ง นอกจากนี้ ด้านการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี กาแฟก็อาจมีประโยชน์ในการช่วยให้ผลการรักษาระยะยาวดีขึ้น ทว่าผลการศึกษาทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ากาแฟจะมีประโยชน์ทางการแพทย์มากพอที่จะนำมารักษาผู้ป่วยโรคตับได้

ประโยชน์ที่อาจไม่ได้ผล

การป้องกันโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร จากความเชื่อที่ว่ากาแฟอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในส่วนต่าง ๆ ของระบบย่อยอาหาร เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งในกระเพาะอาหาร การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พบว่าการดื่มกาแฟหรือชาจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งเหล่านี้ได้ ส่วนใหญ่พบว่าการดื่มชาหรือกาแฟไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอัตราการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งหลอดอาหารแต่อย่างใด

การป้องกันมะเร็งเต้านม ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของกาแฟอาจไม่เป็นจริง โดยการศึกษาส่วนใหญ่ไม่พบความสัมพันธ์ของอัตราการเกิดโรคนี้ที่ลดลงในผู้ที่บริโภคกาแฟ ดังงานวิจัยหนึ่งที่เผยว่าการดื่มกาแฟไม่ได้ส่งผลให้อัตราความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในหญิงจำนวน 38,432 คนลดลงจากเดิม

ผลข้างเคียงจากการดื่มกาแฟ

ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีสามารถดื่มกาแฟได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ทั้งนี้การดื่มกาแฟก็เช่นเดียวกับอาหารหรือสมุนไพรอื่น ๆ ที่อาจมีผลข้างเคียงหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้เมื่อรับประทานเกินพอดี โดยเฉพาะเมื่อใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์บางประการหรือดื่มร่วมกับยาบางชนิด ผู้ใช้จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัยและพึงระมัดระวังดังนี้

กาแฟประกอบด้วยสารคาเฟอีนที่สามารถก่อให้เกิดอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย กระวนกระวาย อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ และผลข้างเคียงอื่น ๆ

การดื่มกาแฟในปริมาณมากอาจทำให้ปวดศีรษะ กระสับกระส่าย วิตกกังวล ได้ยินเสียงดังในหู หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะได้

การได้รับกาแฟวันละ 6 แก้วอาจทำให้เกิดการเสพติดกาแฟ ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการวิตกกังวลหรือกระสับกระส่าย

การดื่มกาแฟจนติดเป็นเป็นนิสัยอาจส่งผลให้ขาดกาแฟไม่ได้ และอาจมีอาการที่เกิดจากการขาดคาเฟอีนหากเลิกดื่มกาแฟอย่างฉับพลัน

กาแฟที่ชงแบบไม่กรองอาจมีปริมาณคอเลสเตอรอล ไขมันชนิดไม่ดี และระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์โดยรวมมากกว่ากาแฟชนิดอื่น ซึ่งจะยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ทางที่ดีจึงควรดื่มกาแฟชงแบบกรองเพื่อลดคอเลสเตอรอลเหล่านี้

มีข้อกังวลว่าการดื่มกาแฟมากกว่า 5 แก้วต่อวันอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคหัวใจ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ป่วยด้วยโรคหัวใจนั้น การดื่มกาแฟหลาย ๆ แก้วต่อวันไม่ได้เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจแต่อย่างใด

เป็นที่กังวลเช่นกันว่าการดื่มกาแฟเป็นครั้งคราวอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ในบางคน นอกจากนี้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจสูงและดื่มกาแฟทุกวันแต่ไม่เกินวันละ 1 แก้วยังอาจมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันสูงขึ้นเช่นกัน โดยจะเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากการดื่มกาแฟ ในขณะที่ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำในปริมาณที่มากกว่านั้นดูเหมือนจะไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะนี้

การใช้กาแฟสวนทางทวารอาจไม่ปลอดภัย เพราะสามารถเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงตามมาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

บุคคลที่ควรระมัดระวังในการดื่มกาแฟ

หญิงที่ตั้งครรภ์ควรได้รับคาเฟอีนไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับกาแฟสำเร็จรูปไม่เกิน 2 แก้ว หรือเท่ากับกาแฟชงสด 1 แก้ว หากได้รับกาแฟมากกว่านี้อาจเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการแท้งบุตร คลอดก่อนกำหนด และทารกมีน้ำหนักตัวแรกคลอดน้อยได้ โดยยิ่งได้รับกาแฟมากเท่าใดก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น

การดื่มกาแฟวันละ 1-2 แก้วดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายสำหรับแม่ที่ต้องให้นมบุตรและทารก แต่การดื่มกาแฟในปริมาณมากอาจส่งผลต่อระบบย่อยอาหารของทารก อีกทั้งทำให้เด็กนอนไม่หลับและเกิดอาการหงุดหงิดฉุนเฉียวได้

การให้เด็กดื่มกาแฟอาจไม่ปลอดภัย เพราะอาจมีผลข้างเคียงจากการดื่มที่รุนแรงมากกว่าในผู้ใหญ่

ผู้ป่วยโรควิตกกังวลอาจมีอาการวิตกกังวลที่แย่ลงได้จากการดื่มกาแฟ

ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมีเลือดออกผิดปกติ การดื่มกาแฟอาจยิ่งทำให้อาการแย่ลงได้

การดื่มกาแฟต้มจะยิ่งทำให้ได้รับคอเลสเตอรอลและไขมันชนิดอื่น ๆ ในเลือดสูงขึ้น รวมถึงระดับโฮโมซีสเตอีน (Homocysteine) ในร่างกายที่อาจจะสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจ และยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการดื่มกาแฟนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

บางงานวิจัยแนะนำว่าสารคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟอาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมีรายงานว่ากาแฟอาจไปเพิ่มหรือลดระดับน้ำตาลในเลือดก็ได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงควรใช้กาแฟอย่างระมัดระวังและหมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
การดื่มกาแฟอาจส่งผลให้ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่แล้วมีระดับความดันโลหิตสูงยิ่งขึ้น ทั้งนี้ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำอยู่แล้วอาจได้รับผลกระทบนี้น้อยกว่า

ผู้ป่วยโรคต้อหินไม่ควรดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน เพราะอาจทำให้ความดันภายในดวงตาสูงขึ้น โดยจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ภายใน 30 นาทีแรกและคงอยู่อย่างน้อย 90 นาที

การดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนอาจทำให้แคลเซียมถูกขับออกทางปัสสาวะมากขึ้นจนกระดูกอ่อนแอลง ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนจึงควรจำกัดปริมาณการดื่มกาแฟในแต่ละวันไม่ให้เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 2-3 แก้ว และอาจรับประทานแคลเซียมเสริมเพื่อทดแทนแคลเซียมที่สูญเสียไป
ผู้ที่มีอาการท้องเสียหรือมีโรคลำไส้แปรปรวนอยู่แล้วไม่ควรรับประทานกาแฟ เพราะสารคาเฟอีนในกาแฟอาจทำให้อาการท้องเสียหรืออาการของโรคแย่ลงกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อได้รับในปริมาณมาก

หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีโรคความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของวิตามินดีได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ควรระมัดระวังในการดื่มกาแฟเป็นพิเศษ

ปฏิกิริยาของกาแฟกับยารักษาโรค

ห้ามดื่มกาแฟร่วมกับยาเอฟีดรีน (Ephedrine) เพราะยาชนิดนี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทเช่นเดียวกับกาแฟ การรับประทานควบคู่กันอาจเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงและมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้ ทั้งนี้ยังรวมถึงผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตามที่ประกอบด้วยเอฟีดรีน

ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับกาแฟ เพราะแอกอฮอล์อาจกระตุ้นให้ร่างกายย่อยคาเฟอีนรวดเร็วขึ้น ส่งผลให้มีสารคาเฟอีนในเลือดมากเกินไปจนได้รับผลข้างเคียงอย่างอาการสั่นกระตุก ปวดศีรษะ และหัวใจเต้นเร็ว
ยาที่ควรระมัดระวังเมื่อใช้ร่วมกับกาแฟ ได้แก่ ยาอะดีโนซีน อะเลนโดรเนท โคลซาปีน ไดไพริดาโมล ไดซัลฟิแรม เอสโตรเจน ฟลูวอกซามีน เลโวไทรอกซีน ลิเทียม ยาต้านซึมเศร้ากลุ่ม MAOIs ยาต้านซึมเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก เพนโทบาร์บิทอล ฟีโนไทอาซีนทีโอฟิลลีน เวอราปามิล ยากระตุ้นระบบประสาท ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และยาปฏิชีวนะ

ปริมาณการดื่มกาแฟที่ปลอดภัย

ปริมาณกาแฟที่ใช้รักษาโรคชนิดต่าง ๆ ตามที่มีการศึกษาวิจัยในปัจจุบันและพบว่าใช้ได้อย่างปลอดภัย มีดังนี้

การรักษาอาการปวดศีรษะ ดื่มกาแฟวันละ 250 มิลลิกรัม หรือประมาณ 2 แก้ว
การเพิ่มความรู้สึกตื่นตัว ดื่มกาแฟวันละ 250 มิลลิกรัม หรือประมาณ 2 แก้ว

การป้องกันโรคพาร์กินสัน ดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนวันละ 3-4 แก้ว โดยแต่ละงานวิจัยใช้กาแฟที่มีคาเฟอีนประมาณ 421-2,716 มิลลิกรัม แต่การดื่มประมาณ 124-208 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1-2 แก้วก็อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ทั้งนี้สำหรับผู้หญิงควรรับประทานประมาณวันละ 1-3 แก้วจะให้ผลดีที่สุด

การป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี ได้รับคาเฟอีนในปริมาณวันละ 400 มิลลิกรัมขึ้นไป หรือเทียบเท่ากับกาแฟมากกว่า 2 แก้ว อย่างไรก็ตาม การดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละ 800 มิลลิกรัมนั้นน่าจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด
👉เมื่อมีโอกาสเข้ามาจงอย่าปฎิเสธ ถึงจะล้มเหลว นั่นคือประสบการณ์ 10กว่าปีแล้วนะค๊าที่น้ำหนักลดไป 15 กิโลกรัม ไม่มีโยโย่เอ็กเฟ๊ก และไม่กลับมาอ้วนอีกเลย อยากผอม.. อยากลดน้ำหนัก..คลิ๊กเลยค๊า >>>https://farmokl2512.blogspot.com/2018/11/12-2.html?m=1
#ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย LINE
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ>>>คลิ๊กเลย


........................

เคดิต
บทความPobpad.com
การมีสุขภาพดี



วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปัจจุบันสามารถพิสูจน์ได้ว่า(ไคโตซาน)ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียวิบริโอVintioในกุ้งได้





การประยุกต์ใช้ ไคโตซานในการเพาะเลี้ยงกุ้ง และสัตว์น้ำ 
ปัจจุบัน ไคโตซาน ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ ในการเพาะเลี้ยงกุ้งและสัตว์น้ำอย่างแพร่หลาย และมีการพัฒนาการใช้งานให้กว้างขวางแก่สัตว์น้ำเช่น เป็นส่วนผสมในอาหาร ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยเร่งการเจริญเติบโตเป็นต้น โดยสามารถแบ่งออกเป็นการประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆดังนี้
1.การประยุกต์ใช้ไคโตซานในด้านการเคลือบอาหารสัตว์น้ำเพื่อเพิ่มความคงตัว คือ ไคโตซานมีคุณสมบัติ ในการเพิ่มความคงตัว ให้กับอาหารสัตว์น้ำ เพิ่มประสิทธิภาพในการลอยตัว และลดการสูญเสียสภาพของอาหาร ก่อนที่สัตว์น้ำจะเข้ามาใช้ประโยชน์ ซึ่งการเพิ่มประสิทธิภาพความคงตัวนั้น จะมีผลให้ลดการเน่าเสียของน้ำ ที่เกิดจากการย่อยสลายอาหาร ที่สัตว์น้ำไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ ซึ่งไคโตซาน ที่นำมาเคลือบอาหารสัตว์น้ำนั้น จะมีลักษณะคล้ายฟิล์มบางๆ ซึ่งจะมีหน้าที่ลดการแตกตัวของอาหารในน้ำ โดยส่วนผสมของไคโตซานที่เหมาะสมคือ 0.16 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณอาหาร และได้ทำการทดลองแช่อาหารสัตว์น้ำที่เคลือบไคโตซานเป็นเวลา 2 วัน พบว่าอาหารมีการแตกตัวปริมาณ 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนอาหารสัตว์น้ำที่ไม่ได้เคลือบไคโตซานมีการแตกตัวประมาณ 30 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์สูญเสียอาหาร
2. การประยุกต์ใช้ไคโตซานในด้านการเร่งการเจริญเติบโต คือ
ในปัจจุบันสามารถพิสูจน์ได้ว่า การผสมไคโตซานในอาหารสัตว์น้ำจะสามารถช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ ตัวอย่างเช่น การใช้ไคโตซานเป็นสารเร่งการเจริญเติบโต ปิยะบุตร และคณะ (2544) ได้ทำการทดลอง โดยเริ่มการทดลอง ที่ปริมาณการใช้สารละลาย ไคโตซานระหว่าง 10 ซีซี. ถึง 20 ซีซี. (200 พีพีเอ็ม และ 400 พีพีเอ็ม) ตามลำดับ เคลือบอาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งกุลาดำ ทุกๆ 1 กิโลกรัม เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ใช้ไคโตซานเคลือบอาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้ง ทำการทดลองในพื้นที่น้ำความเค็มต่ำ (5+2 พีพีที) พบว่า ระยะเวลา 45 วัน ในการทดลอง ปริมาณไคโตซานที่ใช้ในการเคลือบอาหารกุ้ง (200 พีพีเอ็ม) มีผลต่อน้ำหนักรวม อัตรารอดเฉลี่ย น้ำหนักตัวกุ้งเฉลี่ย อัตราการเจริญเติบโตโดยเฉลี่ยต่อวันของกุ้งที่จับได้มีค่าสูงขึ้น และมีประสิทธิภาพการใช้อาหารที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม การเพิ่มปริมาณการใช้ไคโตซาน เคลือบอาหารกุ้งมากขึ้น (400 พีพีเอ็ม) ทำให้ได้น้ำหนัก รวมของกุ้ง ที่จับได้มากขึ้น มีประสิทธิภาพ การใช้อาหารที่ดีขึ้น และอัตรารอดสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการใช้ไคโตซานทั้ง 2 ระดับ พบว่า เพิ่มอัตราการเจริญเติบโตในกุ้งกุลาดำ - กุ้งขาวแวนนาไมได้มากขึ้น ปริมาณไคโตซานที่เหมาะสมที่ใช้ในการเคลือบอาหารกุ้งคือ (400 พีพีเอ็ม) กุ้งกุลาดำ - กุ้งขาวแวนนาไมมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดีมาก และมีขนาดตัวโตที่โตสม่ำเสมอมากที่สุด ดังนั้นการใช้ไคโตซานเคลือบอาหารกุ้ง สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อาหารและเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตในกุ้งกุลาดำและกุ้งขาวแวนนาไมได้มากขึ้น เพราะอาหารที่ผสมไคโตซานจะมีอัตราการแลกเนื้อ(ค่าFCR)ที่ดีกว่ายิ่งขึ้น
3. การประยุกต์ใช้ไคโตซานในการเพิ่มประสิทธิภาพการลอกคราบ คือ ไคโตซานนั้นจะมีบทบาทต่อการลอกคราบโดยการที่ไคโตซานจะเป็นสารตั้งต้นที่กุ้งนำไปใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อและเปลือกของกุ้ง โดยเอ็มไซม์ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการลอกคราบของกุ้ง คือ เอ็นไซม์ไคติเนส ซึ่งมีบทบาทหน้าที่โดยตรงในการหมุนเวียนสารพวกไคตินอันเป็นส่วนประกอบของเปลือกแข็งภายนอก โดยไคติเนสจะย่อยเปลือกแข็งด้านนอกก่อน กระบวนการลอกคราบแล้วดูดกลับไปเก็บไว้ที่(ตับ) molting fluid สำหรับนำมาสร้างเปลือกใหม่ในครั้งต่อไปซึ่งการทำงานของไคตินเนสจะขึ้นกับฮอร์โมน ecdysteroid (Flach et ol.,1992)
4. การประยุกต์ใช้ไคโตซานในด้านการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน คือ Lawhavinit et ol.(2006) ได้ทำการศึกษา ประสิทธิภาพไคโตซานต่อเชื้อวิบริโอ (vibrio) ที่แยกจากกุ้งกุลาดำป่วยในประเทศไทย เนื่องจากไคโตซานเป็นสารที่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคกุ้งได้ โดยเฉพาะโรงเรืองแสงที่มีสาเหตุจากเชื้อกลุ่มวิบริโอที่ทำความเสียหายต่อผลผลิตกุ้งกุลาดำ ในช่วงที่มีอากาศร้อนและน้ำมีความเค็มสูงพบว่า ค่าความเข้มข้นต่ำสุดของไคโตซานที่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตเชื้อวิบริโอ Vibrio harveyi ใน น้ำเค็ม 20 พีพีที คือ ความเข้มข้นร้อยละ 0.1 ทั้งในน้ำที่มีสารอินทรีย์เข้มข้นและเจือจาง อีกทั้งความเข้มข้นของไคโตซานระหว่างร้อยละ 0.1 ถึง 1.0 ยังมีผลควบคุมเชื้อกลุ่มวิบริโอที่นำมาศึกษาทั้งหมด 47 สายพันธุ์ ดังต่อไปนี้คือ..
V.Algnolyticus
V.cholea
V.damsel
V.fluvials
V.harveyi
V.parahaemolyticus
v.vulnficus
และ Vibrio spp.จำนวน 4,2,1,4,9,16,1 และ10 สายพันธุ์ ตามลำดับ และเมื่อนำไคโตซานมาศึกษาระดับความปลอดภัยในกุ้งกุลาดำอายุ 1 เดือน ไม่พบกุ้งกุลาดำตายที่ระดับความเข้มข้นของไคโตซานร้อยละ 0.1-1.0 แต่ จะมีการตายในระดับร้อยละ 50 ที่เวลา 96 ชั่วโมง(4วัน) ที่ความเข้มข้นของไคโตซานเท่ากับร้อยละ 2.0 แสดงว่าไคโตซานสามารถนำไปพัฒนาใช้ในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ เพื่อป้องกันโรคเรืองแสงที่มีสาเหตุจากเชื้อกลุ่มวิบริโอ ที่ระดับความเข้มข้นไคโตซานร้อยละ 1.0 และไม่มีอันตรายต่อกุ้งกุลาดำกุ้งแวนนาไม การศึกษาในปัจจุบันสามารถพิสูจน์ได้ว่า การผสมไคโตซานในอาหารสัตว์น้ำจะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันให้กับสัตว์น้ำในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียวิบริโอVintioในกุ้งได้
5. การประยุกต์ใช้ไคโตซานในด้านการกำจัดของเสียในระบบบ่อเลี้ยง คือ ไคโตซานมีความสามารถในการกำจัดของเสียทั้งในรูปของสารอินทรีย์ และอนินทรีย์ในระบบเพาะเลี้ยง อีกทั้งยังมีความสามารถในการช่วยเรื่องการตกตะกอน ลดปริมาณสารแขวนลอย การดูดซับของเสียและการลดปริมาณแบคทีเรีย จากการศึกษาของ Chung et al.(2005)และ Chung(2006) พบว่าไคโตซานช่วย
-ลดความขุ่นของน้ำในระบบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำลงได้ถึง 90%
-ลดตะกอนแขวนลอยลง 61%
-ลดปริมาณออกซิเจนที่ใช้ในปฏิกิริยา ทางเคมีของการย่อยสลายสารอินทรีย์ (COD) 69.7%
-ลดปริมาณแอมโมเนีย (NH) 89.2%
-ลดปริมาณฟอสเฟตลง 95.6%
และลดจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค(pathogen)อีกด้วย ซึ่งไคโตซานจะมีประสิทธิภาพสูงหรือทำงานได้ดีในระบบที่มีค่าความเป็นกรดด่าง pH ต่ำ น้ำหนักโมเลกุล (molecular weight) ของไคโตซานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการกำจัดของเสียในน้ำคือ 12 มิลลิกรัมต่อลิตร จึงจะสามารถกำจัดของเสียย่อยสลายได้
6. การประยุกต์ใช้ไคโตซานในด้านการควบคุมและลดปริมาณแพลงก์ตอนพืชในบ่อเลี้ยง คือ Lertsutthiwong et al.(2009) ศึกษาการควบคุมแพลงก์ตอนพืช ในบ่อเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม (Litopenaeus vannamei) พบว่าไคโตซานความเข้มข้น 40 มิลลิกรัมต่อลิตร ที่ระดับความเป็นกรดด่าง (pH)ของบ่อเลี้ยง 6.5 - 8.5 เป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมในการควบคุมและลดปริมาณแพลงก์ตอนพืชในบ่อเลี้ยง โดยอัตราส่วนดังกล่าวสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับบ่อเลี้ยงที่มีค่าสภาพด่าง (alkalinity) ต่ำไปจนถึงบ่อเลี้ยงที่มีค่าสภาพความเป็นด่างสูงถึง 400 มิลลิกรัมต่อลิตร และเทคนิคดังกล่าวสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ดีกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในระบบรีไซเคิลหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่
7. การประยุกต์ใช้ไคโตซานในการเพิ่มอัตราการรอดและความทนทานต่อความเครียดของสัตว์น้ำวัยอ่อน
Niu et al.(2011) ศึกษาการเพิ่มความทนทานต่อความเครียดและอัตราการรอดของกุ้งขาวแวนนาไมวัยอ่อนระยะ postlarva โดยใช้อาหารผสมไคโตซานพบว่า กุ้งวัยอ่อนที่ได้อาหารผสมไคโตซานในอัตราส่วน 1-4 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม จะมีอัตราการรอดสูงกว่ากุ้งวัยอ่อนที่ไม่ได้รับอาหารผสมไคโตซานอย่างมีนัยสำคัญและจากการทดสอบความทนทานต่อความเครียดของกุ้งวัยอ่อนพบว่ากุ้งวัยอ่อนที่ได้อาหารผสมไคโตซานจะมีอัตราการทนทานสูงสุดกว่ากุ้งวัยอ่อนที่ไม่ได้รับอาหารผสมไคโตซานอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจากการวิเคราะห์ polynomial regression พบว่า อัตราที่เหมาะสมของการใช้ไคโตซานเป็นอาหารเสริมเพื่อเป็นการเพิ่มอัตราการรอด และความทนทานต่อความเครียดของกุ้งวัยอ่อนคือระหว่าง 2.13 - 2.67 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม

บทสรุป...
ในกระบวนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีการนำไคโตซานมาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายได้แก่
1. การเคลือบอาหารสัตว์น้ำเพื่อเพิ่มความคงตัวและมีผลทำให้ลดอัตราการสูญเสีย
2. การใช้ไคโตซานเป็นสารเร่งการเจริญเติบโต
3. การใช้ไคโตซานในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการลอกคราบ
4. การใช้ไคโตซานในด้านการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
5. การกำจัดของเสียในระบบเพราะเลี้ยงสัตว์น้ำ
6. การควบคุมและลดปริมาณแพลงก์ตอนพืชในบ่อเลี้ยง
7. การเพิ่มอัตราการรอด และความทนทานต่อความเครียดของสัตว์น้ำวัยอ่อน

คลิ๊กอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่....

1#"คอนเฟริม์ จบทุกปัญหาบ่อกุ้งโรคระบาด" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/02/ok.html?m=1<<<คลิกเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

........................

2#"เลี้ยงกุ้งง่ายๆ จบทุกปัญหา การเลี้ยงกุ้ง" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/01/blog-post.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

........................

3#"พิชิตกุ้งขี้ขาว คอนเฟริม์ ขี้ขาวหายชัวร์ ขี้ขาวหายจริงๆ" https://farmokl2512.blogspot.com/2018/12/blog-post.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

........................

4#"ประโยชน์ และ คุณสมบัติพิเศษ ของไคโตซาน ฟาร์มOK"https://farmokl2512.blogspot.com/2018/10/ok.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

.........................

5#"แก้ขี้ขาวหายจริง พื้นที่จังหวัดสงขลา"
https://farmokl2512.blogspot.com/2018/09/ok.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

..........................

6#"เทรนกำลังมาแรง!!พื้นที่ไหนบ้างใช้แล้วขี้ขาวหายชัวร์ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ" https://farmokl2512.blogspot.com/2018/09/2538-2544-2548-340000-32000-ok-ems-ok.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

.........................

7#"กุ้งขาวใช้อะไรเลี้ยงถึงไม่เป็นขี้ขาวพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา" https://farmokl2512.blogspot.com/2018/09/blog-post_19.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

.........................

8#"โรคEHP และ โรค SHIV โรคระบาดในกุ้ง" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/05/ehp-shiv.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

............................

9#"ฟาร์OK มีประโยชน์ต่อการเลี้ยงกุ้งอย่างไร" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/05/ok.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

.............................

10#"เลี้ยงกุ้งได้ ปลอดโรค รู้เขา รู้เรา เลี้ยงกุ้งง่าย ได้กำไรทุกค๊อบ ไม่เสียเวลา - พื้นที่" https://farmokl2512.blogspot.com/2019/05/ok_16.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

...............................

11#"ไขกุญแจแห่งความสำเร็จในการควบคุมโรคระบาด EHP กับ SHIV / EMS https://farmokl2512.blogspot.com/2019/06/ehp-shiv-ems.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย

.................................

12#แก้ขี้ขาวง่ายนิดเดียว..https://farmokl2512.blogspot.com/2019/09/blog-post.html?m=1>>>คลิ๊กเลย
🌿🍁🌾สนใจสั่งซื้อ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
✍ส่งข้อความและโทรฟรีด้วย 🆔️LINE 0620135665
https://line.me/ti/p/hJ7AGHjAZZ<<< คลิ๊กเลย






เคดิต:
เอกสารอ้างอิง...
ปิยะบุตร วานิชพงษ์พันธุ์, นบชนก ธนพงศธร และ สุวลี จันทร์กระจ่าง "การใช้ไคตินไคโตซานเป็นสารเร่งการเจริญเติบโตในกุ้งกุลาดำ" ใน การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 39 สาขาประมง สาขาอุตสาหกรรมเกษตร 5-7 กุมภาพันธ์ 2544, ครั้งที่ 33 - 37 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ทบวงมหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ 2544

ปิยะบุตร วานิชพงษ์พันธุ์ "ยุทธศาสตร์ไคติน -ไคโตซานเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย" นิตยสารสัตว์น้ำ เศรษฐกิจ ครั้งที่ 3 - 21(มีนาคม-เมษายน) : 18 - 21.
กุ้งขาวแวนาไม กุ้งกุลาดำ กุ้งแชบ๊วย กุ้งก้ามกราม กุ้งเครฟิต กุ้งมังกร กุ้งฝอย บ่อกุ้ง ฟาร์มกุ้ง ฟาร์มเพาะพันธุ์กุ้ง บำบัดน้ำเสีย ปรับค่าพีเอช ย่อยสลายแก๊สไข่เน่า ลดกลิ่นเน่าเหม็น ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
..............................

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

" ตายไปแล้วเหมือนเกิดใหม่ "

สุขภาพดีไม่มีขายถ้าอยากได้ต้องดูแลตัวเอง




เรื่องเล่านี้ชื่อว่า. ตายไปแล้วเหมือนได้เกิดใหม่ฟื้นคืนชีวิตใหม่อีกครั้ง!

เป็นเรื่องใก้ลตัวมากจริงๆ ขอบอกกับทุกๆคนเลยนะ! อย่าประมาทกับชีวิตมันน่ากลัว ถ้ามันเกิดขึ้นกับครอบครัวของใคร?คุณจะจดจำมันจนวันตาย!!!
ประสบการณ์ตรงจากคุณสกล นาคเอี่ยม 
เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 30 พฤษภาคม 2561 ประมาณ 10 โมงเช้า ได้รับโทรศัพท์ของคุณสามีโทรเข้ามา จริงๆแล้วไม่ใช่คุณสามี แต่เป็นคุณพยาบาลที่ใช้โทรศัพท์ของคุณสามีโทรมาแจ้งว่าคุณสามี ชื่อคุณสมปอง นาคเอี่ยม อยู่ที่โรงพยาบาลบางละมุง มีคนนำผู้ป่วยมาส่งไว้ที่โรงพยาบาล จึงได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลบางละมุงกับลูกสาวชื่อน้องใบบัว เมื่อไปถึงโรงพยาบาล คุณพยาบาลเล่าถึงอาการของคุณสามีให้ฟังว่า..มีอาการบ้าคลั่ง ไม่มีสติ ถามอะไรก็ไม่ตอบ ทุรนทุรายเหมือนร่างกายขาดอะไรสักอย่างที่เคยได้รับ คุณหมอเลยให้เอ๊กซเรย์ด่วน!ถามคุณพยาบาลว่าห้องเอ๊กซเรย์ไปทางไหนแล้วตามไปเพื่อดูอาการ เมื่อไปถึงก็ถามหาคนชื่อสมปอง นาคเอี่ยม ที่คุณหมอให้นำมาเอ๊กซเรย์ว่าอยู่ห้องไหน สอบถามทุกคน และทุกห้องที่มีการนำคนเข้าห้องเอ๊กซเรย์ แต่..เจ้าหน้าที่จะไม่ให้เราเข้าไปดูระหว่างทำการรักษาผู้ป่วยเด็ดขาดเลย! ด้วยความเป็นห่วงมาก!เพราะก่อนหน้านี้เมื่อปี2540 เคยป่วยเป็น"โรคเส้นเลือดตีบที่ก้านสมอง"มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงได้ขออนุญาตเข้าไปดูให้เห็นกับตาตัวเองว่าเป็นอะไรมากรึป่าว! คุณพระช่วยพอเห็นคุณสามีตกใจม๊ากเลย เมื่อตอนเช้าก่อนออกจากบ้านก็ปกติดีทุกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะป่วย หรือแสดงอาการอะไรออกมาให้เห็นเลย! ภาพที่เห็นคือ มีเจ้าหน้าที่ผู้ชาย 5 คน,ผู้หญิง 1คน ช่วยกันกดให้นอนนิ่งๆอยู่กับเตียงเอ๊กซเรย์ ส่วนมือทั้ง2ข้าง,ขาทั้ง2ข้างถูกมัดตรึงไว้กับเตียง ส่วนคุณสามี มีอาการเหมือนที่คุณพยาบาลบอก คือดิ้นทุรนทุราย คลุ้มคลั่ง ใบหน้าดำมาก หลับตา ปากปิดสนิท พยามสบัดมือ ปัดป้อง ไม่ให้ใครมาทำร้ายตัวเอง ท่าทางทรมานมากๆ จึงสอบถามคุณพยาบาลว่า ทำไมเค้าถึงเป็นแบบนี้เมื่อเช้ายังดีๆอยู่เลย พยาบาลบอกว่าก็ไม่ทราบเหมือนกันมีคนพามาส่งที่โรงพยาบาล คุณหมอเห็นอาการคนป่วยท่าทางไม่ดี และสงสัยกับอาการที่เป็นจึงสั่งให้นำมาเอ็กซเรย์ด่วน! คุณสกลจึงขออนุญาตคุยกับคุณสามีต่อหน้าคุณพยาบาลในห้องเอ๊กซเรย์
ช่วง..ที่คุยกับคุณสามี ได้ถามว่าจำหนูได้มั้ย!
คุณสามีมีอาการหยุดดิ้นนิ่งเหมือนได้ยิน เหมือนรู้สึกตัว แล้วบอกว่า พี่ร้อนเหลือเกิน ช่วยถอดเสื้อกับกางเกงออกให้พี่หน่อยพี่ร้อน แล้วช่วยถอดรองเท้าขาซ้ายออกให้ด้วยมันหนักมากเหลือเกิน ทั้งๆที่ขาซ้ายไม่มีรองเท้าใส่อยู่เลย! คุณพระช่วยมันเกิดอะไรขึ้นกับคุณสามี(อุทานอยู่ในใจ) จากนั้นก็ถอดเสื้อและกางเกงขายาวออกให้เหลือแต่กางเกงขาสั้นตัวเดียว จากนั้นคุณพยาบาลก็ฉีดยาให้เพื่อให้หลับแต่ก็ไม่หลับดิ้นทุรนทุรายอยู่ตลอดเวลาบนเตียงเอ๊กซเรย์ (ฉีดยาให้หลับไป 3 เข็ม)
ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายโมงกว่าแล้ว คุณสกลตัดสินใจบอกคุณพยาบาลว่าให้หยุดทำการเอ๊กซเรย์ขออนุญาตนำคุณสามีลงไปพบแพทย์ผู้สั่งการ เมื่อลงไปพบแพทย์ซึ่งเป็นคุณหมอที่รับคุณสามีไว้ช่วงที่มีคนพามาส่งโรงพยาบาล ท่านได้เรียกคุณสกล กับ น้องใบบัว ไปพูดคุยเพื่อสอบถามประวัติของผู้ป่วย พอทราบว่าเคยมีประวัติเป็นผู้ป่วย ด้วย โรคเส้นเลือดตีบที่ก้านสมองเมื่อปี2540 และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ และเป็นข้าราชการทหารเรือ ปัจจุบันยศเรือตรี จึงได้ขอประวัติมาดูเพื่อทำการวินิจฉัยต่อไป! คุณหมอแจ้งว่าอาการที่เป็นอยู่ในขณะนี้เหมือนคนติดยาเสพติด พอยาหมดไม่ได้เสพเลยมีอาการคลุ้มคลั่งทุรนทุรายเหมือนคนบ้าอยากยา อาการไม่เหมือนคราวที่แล้ว เมื่อได้ฟังคุณหมอพูดจบ! คุณสกล ตัดสินใจในวินาทีนั้นเลย!ขอให้คุณหมอส่งตัวคุณสามีไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์เพราะเคยมีประวัติการรักษาอยู่แล้ว คุณหมอบอกว่าได้ครับดีเหมือนกันเพราะจะได้รักษาต่อเนื่อง แล้วโทรศัพท์ไปติดต่อคุณหมอที่โรงพยาบาลสิริกิติติ์ คุณหมอแจ้งว่าทางโรงพยาบาลสิริกิตติ์จะส่งรถพยาบาลมารับเองให้รอ ช่วงเวลาที่รอรถพยาบาลมารับ คุณสกลไม่ห่างจากคุณสามีไปไหนเลยจะยืนอยู่ใก้ลๆเตียงตลอดเวลา คุณพยาบาลเดินมาบอกให้ไปรออยู่ข้างนอกถึง 3 ครั้ง ออกมานั่งรอนานเหมือนกันเกือบ 5 โมงครึ่ง รถพยาบาลก็มาถึง และเข้าไปรับคุณสามีขึ้นรถ ไปถึงโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ประมาณ 1 ทุ่ม ณ.เวลานั้นคุณสามีรู้สึกมีสติกลับมา อาการเหมือนความจำขาดๆหายๆนึกอะไรไม่ค่อยออก แต่ขาข้างซ้ายมีอาการแข็งมากเอามือจับแล้วบีบทำไมมันแข็งมากขนาดนี้มันเป็นอะไร สงสัยได้ถามคุณสามีว่าทำไมขามันแข็ง คุณสามีตอบว่ามันไม่ได้แข็งอย่างเดียวนะมันปวดม๊ากด้วย หลังจากได้ส่งตัวถึงคุณหมอที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์แล้ว คุณหมอให้นอนที่ตึกผู้ป่วยอายุกรรมเป็นห้องรวม ญาติไม่สามารถเฝ้าผู้ป่วยได้
เรา2คนแม่ลูก คุณสกล กับ น้องใบบัว ก็เลยกลับมานอนที่บ้านปล่อยให้คุณสามีนอนอยู่โรงพยาบาลห้องรวมเพียงลำพัง

ช่วงเช้าของวัน ศุกร์ ที่ 31 พฤษภาคม 2561 เดินทางไปถึงโรงพยาบาลสิริกิตติ์ เข้าไปหาคุณสามีที่เตียงเห็นคุณพยาบาล 2 คน กำลังต่อสายยางเข้าที่ปลายน้องชายคุณสามี แล้วมีเจ้าหน้าที่มาเข็นเตียงนำไปฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดว่าเป็นอะไร ได้สอบถามคุณหมอผู้ดูแล คุณหมอแจ้งว่าอาการคนป่วยผิดปกติเพราะโดยปกติแล้วผู้ป่วยที่เข้ามารักษาตัวจะต้องมีการขับถ่ายอุจจาระ,ขับถ่ายปัสสาวะ ตามปกติทั่วไป อีกอย่าง คือไม่ได้นอนทั้งคืน ทั้งที่ฉีดยานอนหลับให้ จึงทำให้คิดว่าต้นเหตุน่าจะเป็นที่เส้นเลือด หากฉีดสีเสร็จจะทราบผลได้ในทันที  เวลาผ่านไปเมื่อฉีดสีเสร็จเรียบร้อย คุณหมอแจ้งว่าต้องเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู ด่วน!
ช่วงเวลา13.00น.เป็นเวลาเข้าเยี่ยมผู้ป่วยในห้อง ไอ.ซี.ยู ได้แล้ว คุณสกล ก็เข้าเยี่ยมเหมือนกับคนอื่นๆพอได้เห็นหน้าคุณสามีมีสายอ๊อกซิเจนเสียบที่จมูกและที่ปากเห็นแล้วสงสารจับใจช่วยอะไรก็ไม่ได้ ได้แต่ยืนมองแล้วก็ให้กำลังใจ ปลอบว่าเดียวก็หาย ช่วงนั้นคุณหมอก็อยู่ตรวจพอดี "คุณสามีบอกคุณหมอว่าผมปวดมากเลยครับ ช่วยผมด้วยครับ จะทำอะไรกับผมก็ทำเถอะผมทนไม่ไหวแล้ว" คุณสกลก็จับมือคุณสามี เรา2คนก็จับมือกันแน่นเลย คุณหมอตรวจเสร็จก็เดินออกมาจากเตียงเรียกคุณสกลออกมาคุย คุณหมอแจ้งถึงอาการป่วยของคุณสามี ว่า เส้นหลอดเลือดใหญ่ของหัวใจเกิดการปริแตก ส่งผลให้เลือดที่ส่งไปตามอวัยวะต่างๆไม่สามารถรับเลือดได้ จึงทำให้ภาวะการทำงานของอวัยวะทั้งหมดล้มเหลว ถ้าเรียกตามภาษาทางการแพทย์ คือไตวาย คุณหมอบอกว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ คุณหมอที่ผ่าตัดโรคหัวใจไม่อยู่เดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพฯ นัดครอบครัวไว้ด้วย เดียวจะโทรติดต่อกลับไปว่าจะสะดวกกลับมาผ่าตัดให้มั้ย เพราะคนป่วยอาการไม่ไหวแล้วต้องผ่าตัดด่วนภายในวันนี้! หลังจากทราบอาการที่คุณหมอแจ้งแล้วว่าคุณสามีต้องเข้าผ่าตัดด่วน!
คุณสกลเดินกลับเข้าไปที่เตียงแล้วบอกกับคุณสามีว่า!คุณหมอจะผ่าตัดให้พี่นะ! เพราะหลอดเลือดหัวใจของพี่ปริแตก!ตอนนี้เลือดที่ซึมออกมาจากหลอดเลือดไหลท่วมเต็มอยู่ในปอด ในไต ในตับ ในช่องท้องของพี่เต็มไปหมด เดียวหมอจะมาวางยาสลบให้พี่นะ! สัญญานะว่าจะกลับมาหานู๋ กับ ลูก ต้องกลับมานะ!อย่าทิ้งนู๋ กับ ลูกไปนะ!เป็นการสั่งลาก่อนที่จะเข้าผ่าตัด


ช่วงเวลา 15.00 น.คุณพยาบาลได้ออกมาเรียกคุณสกลให้เข้าพบคุณหมอ  คุณหมอแจ้งว่าผู้ป่วยมีอาการไตวายเฉียบพลัน! ต้องเข้าห้องผ่าตัดด่วน! การผ่าตัดในครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือผู้ป่วย ยังไงก็ต้องผ่าตัดถึงไม่ผ่าตัดผู้ป่วยก็ต้องตายอยู่ดี เสี่ยงผ่าตัดดีกว่า ผลของการผ่าตัด 50/50 รอดหรือไม่รอดก็ต้องมีค่าใช้จ่าย อ่านแล้วเซ็นต์ชื่อให้หมอด้วย ช่วงนั้นหน้าซีดหน้ามืดใจสั่นเหมือนจะเป็นลมล้มทั้งยืน คิดอะไรไม่ออก มึนไปหมดหยิบปากกาเซ็นต์ชื่อเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไอ.ซี.ยู ได้หันกลับไปมองที่เตียงคุณสามีปรากฎว่ามีคุณหมอหลายคนมายืนอยู่รอบเตียงของคุณสามีเป็นคุณหมอเฉพาะทางทั้งนั้นเลย! 
คุณหมอเริ่มทำการผ่าตัดเวลา 16.00 น. 
เรา2คนแม่ลูกคุณสกล กับน้องใบบัวและกลุ่ม.HF(ED-RCED)ร่วมกันสวดมนต์อธิฐานขอให้การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีและปลอดภัย
เวลา 20.00 น. คุณหมอแจ้งว่าขณะผ่าตัดผู้ป่วยมีอาการไตวายหมดลมหายใจ คุณหมอได้ทำการซ๊อตกลับมาแล้วทำการเปลี่ยนหัวใจจริงออก นำหัวใจเทียมมาทำการผ่าตัดแทน และทำการผ่าตัดต่อจนเสร็จ กระทั่งถึงเวลาตี 5 ของวัน เสาร์ ที่ 1 มิถุนายน 2561 ใช้เวลาในการผ่าตัด 14 ชั่วโมง คุณพยาบาลเล่าให้ฟังว่า คุณหมอที่ผ่าตัดให้คุณสามีหลับคาห้องผ่าตัด เพราะไม่ได้หยุดพักทั้งคืน

ตอนเช้าวัน เสาร์ ที่ 1 มิถุนายน 2561 เวลา 8.00 น. เป็นเวลาเข้าเยี่ยมผู้ป่วยห้องไอ.ซี.ยู คุณสกล กับ น้องใบบัว ก็เข้าไปเยี่ยมคุณสามีในห้องแอดมิดซึ่งเป็นห้องปลอดเชื้อโรค คุณสกลตรงเข้าไปจับมือคุณสามีแล้วเรียกที่หูดังๆ3ครั้ง "พี่ๆกลับมาหานู๋ กับ ลูก เถอะ อย่าทิ้ง นู๋ กับ ลูกไป กลับมานะ กลับมานะ" พอเรียกครบ 3 ครั้ง คุณสามีก็พยายามลืมตา เสียงเครื่องที่จับชีพจรดังลั่นห้องแอดมิดเลย คุณหมอที่อยู่ด้านนอกพากันวิ่งเข้ามาดู 2คน แล้วบอกว่าผู้ป่วยฟื้นแล้ว แล้วแจ้งให้ญาติทราบถึงการผ่าตัด!การผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือดเป็นสายยางแทนได้ผลดี! แผลผ่าตัดที่เย็บภายในเลือดหยุดไหลแล้ว!ปลอดภัยดี! แต่ต้องรอดูอีก 2 -3 วัน ว่าผู้ป่วยมีการขับถ่ายเองได้มั้ย! ปัสสาวะเองได้รึป่าว! เพราะผู้ป่วยยังช่วยตัวเองไม่ได้ หากไม่สามารถขับถ่ายเองได้ภายใน 2-3 วัน คุณหมอแจ้งว่าต้องใช้วิธีล้างไต ไม่เช่นนั้นระบบภายในของผู้ป่วยไม่ขับถ่ายของเสียออกมาเองได้จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักกว่าเดิม ขั้นตอนแรกต้องเจาะช่องท้องเพื่อช่วยล้างของเสียออกมาก่อน เพื่อให้ผู้ป่วยไม่อึดอัดมาก
ภาพโดยรวมตอนนี้คือ ปลอดภัยจากการผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือดหัวใจ แต่!ยังมีอะไรอีกมากมายที่ต้องเจอ คือ ความจำอาจจะกลับคืนมาไม่หมด และขาข้างซ้ายที่ขาดเลือดไปเลี้ยงนานหลายชั่วโมงอาจเน่าเสียต้องตัดขาทิ้ง ต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปตลอดชีวิต เราต้องดูแลกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
วันอาทิตย์ ที่ 2 มิย. และวันจันทร์ ที่ 3 มิย.61 อาการคุณสามีก็ยังขับถ่ายเองไม่ได้ และขับปัสสาวะเองไม่ออก คุณหมอต่อสายยางทางน้องชายคุณสามีก็ไม่มีปัสสาวะออกมาให้เห็นเลย คุณหมอแจ้งว่าสงสัยคงต้องล้างไตเพราะผู้ป่วยไม่สามารถขับถ่ายของเสียออกมาด้วยตนเองได้ อวัยวะภายในอาจล้มเหลวในการทำงาน เพราะก่อนผ่าตัดเลือดไหลออกมาท่วมช่องท้อง คุณหมอวินิจฉัย! พรุ่งนี้วันอังคารต้องล้างไต แจ้งคุณพยาบาลเข้าเวรเตรียมเครื่องล้างไตมารอไว้เลย! คุณสกลได้รับแจ้งจากคุณหมอก็เดินไปที่เตียงที่คุณสามีนอนพักฟื้นอยู่ ก้มไปพูดดังๆใก้ลๆที่หูบอกว่าพรุ่งนี้คุณหมอจะทำการล้างไตให้พี่นะ! เพราะพี่ไม่ขับถ่ายเอง! และปัสสาวะเองไม่ได้! อย่า!นอนนิ่งๆควรเบ่งอึ เบ่งฉี่ หน่อยได้มั้ย! แล้วบอกว่าพี่ทำได้!แล้วก็มองตากันให้กำลังใจกัน!ต้องทำนะ!ไม่อย่างนั้นคุณหมอล้างไตพี่แน่นอน!ในระหว่างนั้นที่พูดให้คุณสามีฟังได้เอา (น้ำว่าน อโลเวร่าจุ้ย)ที่แบ่งใส่ขวดเล็กๆใส่มาในกระเป๋าถือเอาออกมาแล้วใช้สำลีชุบแล้วทำทีว่าเอาไปเช็ดปาก!เช็ดหน้า! แท้จริงแล้วเอาไปให้ดูดเพื่อให้ปากคอชุ่มชื้น เพราะหลังผ่าตัดออกมาคุณหมอไม่ให้ผู้ป่วยดื่มเลย หลังจากใช้สำลีชุบน้ำว่านให้ดูดจนหมดขวดเล็กๆก็บอกคุณสามีว่าทำยังไงก็ได้ให้ขับถ่ายออกมาให้ได้คืนนี้! การล้างไตเป็นเรื่องใหญ่มากๆเลยนะ!อย่าให้ถึงต้องล้างไตเลยนะค่ะ
ตอนเช้าวันอังคาร ที่ 4 มิถุนายน 2561 เข้ามาเยี่ยมคุณสามีเหมือนเดิมและทำใจไว้แล้วว่า วันนี้!คุณหมอบอกจะล้างไต พอเข้ามาสิ่งแรกที่เห็น คือ สายยางที่ต่อจากน้องชายสามีในถุงมีน้ำปัสสาวะอยู่ค่อนถุง พอดีคุณพยาบาลที่เข้าเวรอยู่เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนผู้ป่วยขับถ่ายออกมาเยอะมาก และหลายครั้งเปลี่ยนแพมเพิสไปหลายหนเลยไม่ต้องล้างไตแล้ว และผู้ป่วยร้องหิวอยากกินข้าว คุณหมอเลยให้อาหารเหลวทางสายยางไปแล้ว ดูอาการอีกสักวัน คงให้ออกจากห้องไอ.ซี.ยู ได้ยินแล้วรู้สึกดีใจมากเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะไม่ต้องล้างไตแล้ว!มันแฮ๊บปี๊มากๆดีใจสุดๆโล่งๆๆๆ
วันพุธที่ 5 มิถุนายน 2561 คุณหมอได้แจ้งว่าอาการของผู้ป่วยดีขึ้นเรื่อยๆ พรุ่งนี้จะได้ออกจากห้อง ไอ.ซี.ยู ย้ายไปอยู่ตึกผู้ป่วยสูงอายุ ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกดีใจมาก! ภาวนาอยู่ในใจขอให้อะไรๆกลับมาดีขึ้นเรื่อยๆด้วยเถอะ!
วัน พฤหัสบดี ที่ 6 มิถุนายน 2561 
คุณหมอให้ออกจากห้อง ไอ.ซี.ยู ย้ายไปพักฟื้นที่ตึกผู้ป่วยอายุกรรมตึก2 มาอยู่พักฟื้นก็มีโอกาสทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง โดยการนวดขาข้างซ้ายที่มีอาการน่าเป็นห่วงมากเพราะเป็นสีม่วงๆคล้ายเนื้อมันเสีย คุณหมอบอกว่าต้องใช้เวลา ต้องขยันนวดบ่อยๆ ทำกายภาพบำบัดไปด้วยทุกส่วนของร่างกายเลย ทำจนกระทั่งกลับมาเป็นปกติ ส่วนในตอนเย็นคุณสกลก็นอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลสิริกิตติ์ชั้น5 ประมาณตี3 ของทุกวัน จะลงมาเพื่อเอา(น้ำว่าน อโลเวร่าจุ้ย)และ(ไอริสไร้ซ)มาให้คุณสามีดื่มทุกวัน พอเช้า 8โมง ต้องทานข้าว ก็ให้ทาน(โคเอ็นไซน์คิวเทน 2 แคปซูล) และช่วงบ่ายทานข้าว ก็ให้ทาน(โคเอ็นไซน์คิวเทนอีก 2 แคปซูล)ทำแบบนี้ทุกวัน ที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล คุณหมอตรวจอาการแผลผ่าตัด เพราะต้องล้างแผลทุกวัน คุณหมอแจ้งว่าดีมากเลย แผลผ่าตัดแห้งดีไม่อักเษมบวมแดงไม่ติดเชื้อเลยอีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้แล้ว
วันที่ 15 มิถุนายน 2561 คุณหมอแจ้งว่าให้กลับบ้านได้ ให้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน และมาให้ตรงตามที่หมอนัดทุกครั้ง ทานยาให้ตรงเวลาตามที่หมอสั่ง ซึ่งคุณสามีก็ทำตามคำแนะนำ ของคุณหมอทุกอย่างเลย! แต่!ก็ดื่มน้ำว่าน อโลเวร่าจุ้ย ทุกมื้อทุกวัน ใช้ทาแผลผ่าตัดด้วย และดื่มไอริสไร้ซ ทุกมื้อเพื่อฟื้นฟูเซลล์ต่างๆในร่างกาย เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วยโคเอ็นไซน์คิวเทน+ไอริส สาหร่าย สไปรูลิน่า พักฟื้นอยู่กับบ้านได้สักพักพอลุกขึ้นเดินเองไหว ก็พากันไปออกกำลังกายช่วงเย็นทุกๆวัน จนสุขภาพร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมปกติดี 
ขอบคุณผลิตภัณฑ์ดีๆ ของบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพจำกัด.ที่ได้ให้คุณสมพร ศรุติไพศาล นำกระเช้า(น้ำว่าน อโลเวร่าจุ้ย) และ (ไอริส ไร้ซ) มาเยี่ยมมอบให้กับรต.สมปอง นาคเอี่ยม)ขอบพระคุณค่ะ
สิ่งที่ได้ในการป่วยครั้งนี้ คือ ใช้ชีวิตกันใหม่ รักครอบครัวดูแลตัวเองกันมากขึ้น ไม่ดื่มเหล้าเลิกไปเลย หันมารักกันดูแลกันและกันมากยิ่งขึ้น ใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันให้มีความสุขไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มีเหตุผลมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น และรักกันมากยิ่งขึ้น ชีวิตเดินทางมาครึ่งร้อยแล้วเหลือเวลาที่จะอยู่ด้วยกันอีกไม่นาน จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุด ให้มีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากทำอะไรที่ยังไม่ได้ทำ ก็จะทำให้ดีทีสุด ทำให้สุดชีวิต จะเหลือไว้แต่สิ่งดีๆที่ทำให้กันตอนมีชีวิตอยู่



รวบรวมภาพช่วงรักษาชีวิตกันเอาไว้มาฝาก..ทุกๆท่านที่ได้อ่านเว็บไซด์"ตายแล้วเหมือนเกิดใหม่"มาเป็นวิทยาทาน เป็นสะพานบุญแก่ทุกท่านค่ะ











































รต.สมปอง นาคเอี่ยม ปัจจุบันหายป่วยเป็นปกติสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดีมากๆ ใช้เวลารักษาเพียงปีครึ่ง





ขอบคุณhealthfoods mlm ที่มอบสิ่งดีๆให้ กับ คนไทยทั้งประเทศ

เรื่องจริง ของ..คุณสกล นาคเอี่ยม ขอเผยแพร่เป็นวิทยาทานให้แก่ทุกท่านที่เจ็บป่วย และหาทางแก้ไข และป้องกัน

#โรคหัวใจ #โรคเส้นเลือดตีบ #โรคหลอดเลือด #โรคเมร็ง #โรคเบาหวาน #โรคความดันโลหิตสูง,โรคไขมันอุดตันหลอดเลือด #ท้องผูกขับถ่ายยาก #โรคเครียดนอนไม่หลับ #โรคงูสวัด #โรคเข่าข้ออักเษม #โรครูมมะต่อย ฯลฯ